This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เราเกิดมาเพื่ออะไร !!!



อายุระหว่าง 60-80ปี สำหรับบางคนแล้วอาจจะคิดว่าแก่แล้วควรที่จะพักผ่อน แต่ที่ต่างจากนั้นคือ ชายหนุ่ม 5 คนนี้แล้วบางครั้งการต่อสู้กับโรคร้าย ไม่ได้หมายความว่าเราจะชนะเสมอไป แต่การที่จะทำให้เราชนะทุกๆสิ่งในโลกนี้คือ การที่เราได้เอาชนะ “ใจตัวเอง”ต่างหาก   ที่คือคำตอบที่ถูก การที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้คนส่วนมากแล้วมักจะไม่คิดว่า เราจะมีชีวิตถึงวันใหน จะมองทุกๆวัน โดยผ่านไปด้วยความว่างเปล่าแต่ผลสุดท้ายแล้ว ทุกๆคนก็สามารถมองเห็นความสำคัญของชีวิตได้เมือในวันพรุ่งนี้ คือวันสุดท้ายของเขา


กีฬามันๆ จากเชียงราย ฮาๆ ไม่เคยมีที่ใหนมาก่อน



สมัยนี้คนเรามักจะไม่ชอบปัฏิบัติตามกฎแต่มักจะ อยากให้กฏมาปฏิบัติตามเรา จนทำให้บางครั้งเกิด ตลกๆเกิดขึ้นได้เสมอ ฮ่าๆๆๆ


วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

สรุปเงินสี่ด้าน - จากหนงั สือ พ่อรวย สอนลูก Rich Dad Poor Dad

E (Employee) – ลูกจ้าง
- รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน
- รายไดต้ ามตำแหน่งงานที่ไดรั้บ
มอบหมาย
- นายจา้ งเป็นผูก้ ำหนดวิถีชีวิตและ
เงินเดือนใหคุ้ณ
- ขาดอิสรภาพ ตอ้ งเซ็นชื่อ
ตอกบัตร
- ตกงานเท่ากับลม้ ละลาย
(ตกงาน 3 เดือน ไม่ต่างจากคน
ลม้ ละลาย)
- อยู่ในวงจรหนี้

B (Business Owner) –
เจ้าของธุรกิจ
- มีทุน
- หาคนเก่งๆ มาทำงานให ้
- ไม่ทำก็มีรายได ้
B มีหลายประเภท
- บริษัท
- แฟรนไซน์
- การตลาดแบบเครือข่าย (เป็น
ช่องทางที่จะเป็นเจา้ ของ
กิจการ ที่มีความเสี่ยงนอ้ ย)

S (Self-employed) –
ทำธุรกิจส่วนตวั
- ขายเวลาแลกกบั เงิน จา้ ง
ตัวเองทำงาน
- ชอบคิดเองทำเอง, ควบคุมทุก
อย่างดว้ ยตัวเอง
- ขาดประสบการณ์
- เจอคู่แข่งที่มีทุนหนากว่า
- อาจจะทนทำ เพราะชอบ อิสระ
แต่ไม่มี อิสรภาพ

I (Investor) – นกั ลงทุน
- ไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน
- มองผลตอบแทนจากการปันผล
/ดอกเบี้ย
- ซื้อกิจการมาปรับปรุง แล้ว
ขายต่อ

คนฝั่งซ้าย

คนฝั่งขวา

มี ความกลวั เป็นตัวขับเคลื่อน
ยึดติดกับงานประจำ
รายได้จำกัด
ไม่มีเป้าหมายในชีวิต
มองเห็นอุปสรรค
ไม่เข้า ใจคำว่า ทรัพย์สิน หนี้สิน
ทำงานเพื่อเงิน
คิดถึงความเสี่ยง
ยึดติดกับสิ่งเก่า
ไม่มีแผนงาน
ดำเนินชีวิตดว้ ยตัวเอง
เรียนรูสิ่งงใหม่
มีแผนงานชัดเจน
ตัวเอง มีที่ปรึกษา
ชอบหาความจริง
ชอบมี กระแสเงินสด สมํ่าเสมอ
ชอบมองหาคนเก่ง
ชอบวิธีคิด
ชองการจดจ่อ (Focus)
ควบคุมระบบ
เป็นเจ้าของระบบ
เรียนเพื่อหาความรู้
สร้างงานเพื่อคนอื่น
ทำบุญทุกครั้งที่มีโอกาส

 

แล้วคุณเลือกอยู่ฝั่งไหน ??????

ผูเ้ ขียน พ่อรวย สอนลูก (Rich Dad Poor Dad)
งานประจำ ไม่ทำใหร้ ํ่ารวยได ้ มีแต่หนี้ ถา้ ตอ้ งการความสำเร็จ ต้องเป็ นเจ้าของธุรกิจ
ธุรกิจมี 2 ประเภท คือ รวยแต่หยุดทำไม่ได ้ กับรวยแลว้ พักไดโ้ ดยรายไดไ้ ม่หยุด
1. กิจการใหญ่ (ซีพี, AIS)
2. เจา้ ของแฟรนไชส์

3. ธุรกิจเครือข่าย
- การตลาดเครือข่าย เป็ นเสมือนโรงเรียนสอนนกั ธุรกิจ ที่ช่วยใหคุ้ณยา้ ยฝั่งไดง้ ่าย ไดผ้ ล
และปลอดภัยที่สุด
- บริษัทเครือข่ายการตลาดที่ดีจะตอ้ งมีระบบพัฒนาตัวคุณอย่างสมบูรณ์แบบ (โดย สอนให้
คุณเป็ นนกั ธุรกิจ เพื่อเป็ นเจ้าของธุรกิจ ไม่ใช่สอนให้คุณเป็ นเซลส์แมนหรือเพียงทำ
ให้คุณมีรายได้ไปวนั ๆ บนความมนั่ คงที่ไม่แน่นอน)
- คนที่รวยที่สุดในโลกล้วนแสวงหา การสร้างเครือข่าย ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่กำลงั
หางานทำ หากคุณมีความคิดสรา้ งสรรอันยิ่งใหญ่ หรือสินคา้ อันดีเยี่ยมปานใดก็ตาม มีเพียง
หนทางเดียวที่จะนำท่านสู่ความสำเร็จ คือ การใชเ้ ครือข่ายการประชาสัมพันธ์ และเครือข่าย
การ จัดจำหน่ายสินคา้ เหล่านั้นสู่มือผูบ้ ริโภคอย่างไดผ้ ล

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

คุณโรเบริ์ต ผู้เขียนหนังสือพ่อรวยสอนลูก

image

การศึกษาเรียนรู้มี 3 แบบคือ

1. การเรียนรู้ทางวิชาการ

2. การเรียนรู้ทางวิชาชีพ

3 .การเรียนรู้ทางด้านการเงิน

การเรียนรู้ทางวิชาการและวิชาชีพ ไม่ได้สร้างความร่ำรวยให้กับ

เรา แต่สามารถให้เรามีงานทำ ทำงานเพื่อเจ้าของกิจการ

การเรียนรู้ทางด้านการเงิน สามารถให้เราสร้างความร่ำรวยได้

ทัศนคติที่แตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน

คนจน มักคิดว่า ฉันคงทำไม่ได้หรอก

คนรวย จะคิดว่า ฉันจะทำมันได้อย่างไร

คนจนมองการลงทุนเป็นความเสี่ยง และยึดกับการมีรายได้ประจำ

ว่ามั่นคง

คนรวยมองหาวิธีการควบคุมความเสี่ยง และคิดว่าการมีรายได้

ประจำไม่มั่นคง เพราะเงินเดือนของเราถูกควบคุมโดยนายจ้าง

หรือหัวหน้างาน ไม่ใช่ ตัวเราเอง

ธุรกิจหนึ่งที่คุณโรเบิร์ตแนะนำสำหรับคนที่มีทัศนคติแบบคนรวย

แต่อาจมีเงินทุนน้อย คือลงทุนเวลา + กับความตั้งใจจริง ใน

ธุรกิจเครือข่าย ซึ่งเราเองรู้สึกดีมาก และคิดว่าตนเองตัดสินใจ

ถูกที่เลือกที่จะลงทุนกับธุรกิจเครือข่ายที่ใช้ระบบการทำงานจากที่

บ้านเป็นแรงขับเคลื่อน ทำให้ธุรกิจเครือข่าย บน เครือข่าย

อินเตอร์เน็ต ทำได้และมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูง

ถ้าต้องการที่จะเปลี่ยน ต้องเริ่มเปลี่ยน

ถ้ากลัวที่จะผิดพลาด คุณจะไม่ได้ทำอะไรเลย

ในโลกของธุรกิจคุณจะต้องเกิดข้อผิดพลาด เรียนรู้ประสบการณ์

จากข้อผิดพลาด

เหมือนเด็กที่หัดเดิน ล้มแล้วลุก แล้วเดินต่อ ไม่ว่าจะล้มสักกี่ครั้ง

ก็จะลุกและเดินต่อ จนสามารถวิ่งได้ในที่สุด ทุก ๆ คนเคยผ่านจุด

นั้นมาแล้ว

ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่าน และขอขอบคุณที่สละเวลา เข้ามา

เยี่ยมชมเว็ปไซต์ของเรา

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก The Magic of Thinking Big

คิดใหญ่แล้ว
คุณจะมีชีวิตที่ใหญ่ขึ้น
คุณจะมีชีวิตที่ใหญ่ในด้านของความสุข
คุณจะมีชีวิตที่ใหญ่ในด้านของความสำเร็จใน
หน้าที่การงาน ใหญ่ในด้านของรายได้ ใหญ่ในด้าน
ของเพื่อนฝูงและใหญ่ในการที่จะ
ได้รับการยอมรับ
และยกย่อง

 

 

วิธีที่ 1 ถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็จะทำได้

  • คิดว่าต้องสำเร็จ อย่าคิดว่าจะล้มเหลว ความคิดที่เชื่อว่าจะสำเร็จจะควบคุมจิตใจของ
    คุณให้คิดแผนการและกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

 

  • เตือนตัวเองอย่างสม่ำเสมอว่าคุณเก่งกว่าที่คุณคิด

 

  • คิดการใหญ่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ จำไว้ว่าความคิดใหญ่และแผนการใหญ่นั้น
    ปกติจะทำได้ง่ายกว่าความคิดเล็กและแผนการเล็ก

 

วิธีที่ 2 รักษาโรคชอบแก้ตัวของคุณ : โรคแห่งความล้มเหลว

  • รูปแบบที่แย่ที่สุดของการชอบแก้ตัวก็คือ เรื่องสุขภาพ ความเฉลียวฉลาด อายุและโชค

 

  • ศึกษาคนที่ประสบผลสำเร็จอย่างรอบคอบว่าอะไรทำให้เขาประสบผลสำเร็จ แล้วมาใช้
    กับชีวิตคุณเอง

 

  • คนที่ไม่ประสบผลสำเร็จนั้นมักจะป่วยเป็นโรคจิตใจตาย เรียกว่า โรคชอบแก้ตัว
    ความล้มเหลวทุกครั้งจะติดเชื้อของโรคนี้มาก่อนเสมอ และคนโดยทั่วไปมักจะมีเชื้อ
    ของโรคนี้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

วิธีที่ 3 สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง และทำลายความหวาดกลัว

  • มองคนอื่นด้วยภาพที่เท่าเทียมกันกับตนเอง

 

  • สร้างทัศนคติในการเข้าใจคนอื่น

 

  • เทคนิคที่คุณควรฝึกในกิจวัตรประจำวันเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคุณเอง เช่น
    นั่งแถวหน้า เพื่อสร้างความมั่นใจ ฝึกสบตาคนอื่น เพื่อที่จะบอกว่า “คุณจริงใจ
    คุณเชื่อมั่นในสิ่งที่กำลังพูดกับคนอื่น คุณไม่กลัว คุณมีความมั่นใจ” เดินให้เร็วขึ้น 25
    เปอร์เซ็นต์ ยืดไหล่ เงยหน้า แล้วคุณจะรู้สึกว่าความมั่นใจตนเองมีมากขึ้น ฝึกพูด
  • แสดงความคิดเห็น ยิ้มกว้าง การยิ้มจะช่วยให้กำลังใจดีขึ้น ยิ้มอย่างเปิดเผย ให้ความ
    มั่นใจแก่คุณ สามารถเอาชนะความกลัว ขจัดความวิตก และเอาชนะความทุกข์โศกได้

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

สรุปวิธีทำให้คุณฉลาดขึ้น

10 วิธีรีเฟรชชีวิต



คร่ำเคร่งกับงานมาทั้งวันอย่าปล่อยให้ร่างกายหมดพลังไปเลยล่ะ เจียดเวลาสักเล็กน้อยลองทำตามวิธีเหล่านี้ดูจะช่วยชาร์จพลังให้ชีวิตคุณได้
• นวดใบหู

นวดบริเวณดังกล่าวประมาณ 5 วินาที สามารถคลายอาการปวดศีรษะและปวดบริเวณต้นคอได้
• ดื่มน้ำมากๆ

ควรจะดื่มน้ำบ่อยๆ แม้ว่าคุณจะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม เพราะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า การที่ร่างกายขาดน้ำจะทำให้คุณดูอิดโรย ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น
• หัวเราะดังๆ

การมีอารมณ์ขันและหัวเราะเสียงดังบ้างเป็นครั้งคราวช่วยกระตุ้นให้คุณได้ใช้พลังงานอย่างเต็มที่

• หายใจให้ลึก

โดยการหายใจลึกๆ ซึ่งจะช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้รับออกซิเจนทั่วถึง
• อาบน้ำร้อนสลับกับน้ำเย็น

อุณหภูมิของน้ำที่เปลี่ยนไป เป็นการกระตุ้นให้คุณรู้สึกตื่นตัว สดชื่น กระปรี้กระเปร่าไปได้ทั้งวัน
• ออกไปโดนแดด

แสงแดดที่ไม่แรงนัก เช่น ในเวลาเช้า ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามิน D และยังกระตุ้นให้มีการหลั่งสารสื่อประสาทบางประเภทในสมอง เช่น ซีโรโตนิน (Serotonin) และ โดพามีน (Dopamine) ซึ่งมีผลในการควบคุมอารมณ์

• ท้าทายสมอง

ลองทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง เช่น ลองเปลี่ยนเส้นทางใหม่ระหว่างการไปทำงาน ช่วยฝึกให้สมองได้คิดและมีการพัฒนามากขึ้น

• แอบงีบบ้างไม่ผิด

ถ้ารู้สึกอ่อนล้ามากๆ ลองงีบพักสักครู่จะช่วยให้คุณสดชื่นขึ้น

• ฝึกทักษะให้สมอง

การเรียนรู้ภาษาใหม่ๆหรือการเล่นเกม เช่น หมากรุก จะช่วยพัฒนาสมองและช่วยให้สมองไม่ล้าจากการทำงาน
• สดชื่นเข้าไว้

ข้อนี้สำคัญมากครับ ยิ่งถ้าคุณรู้สึกเบื่อ อ่อนล้า เหนื่อยอ่อน มากเท่าไรก็จะเป็นการดูด พลังงานของคนรอบข้างให้รู้สึกเช่นนั้นไปด้วย อาจจะลองหาที่สงบอยู่กับตัวเองซักพัก เมื่อรู้สึกดีขึ้นโดยอาจจะลองปฎิบัติวิธีที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดแล้วค่อยกลับมาเริ่มงานด้วยความสดชื่นต่อไป

ฝึกสมองให้รู้จักจำ
มีเรื่องให้จัดการเยอะบางทีก็มีเรื่องให้ลืมเป็นธรรมดา แต่...ถ้าเกิดไปลืมเรื่องสำคัญเข้าละก็แย่แน่ๆ วันนี้เรามีวิธีฝึกสมองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจำ รับรองว่าไม่ยาก

นิสัยไม่ดีชอบจ้องจับผิดคนอื่น

 
นิสัยไม่ดีชอบจ้องจับผิดคนอื่น >> มิน่าถึงไม่มีเพื่อนที่ดีเหลือเลยสักคน จับผิดตัวเองดีกว่า สนุกกว่ากันเยอะเลย




ติดเกมงอมแงมเสียการเรียน แต่เลิกไม่ได้ >> พูดท้าทายตัวเอง เช่น "เล่นเกมสนุก แต่ไม่มีสาระ เสียเวลาไปเปล่าๆ ไหนเก่งจริง ลองทำงานหรือเรียนให้สนุกเหมือนเกม ทำได้หรือเปล่า"



ทำสิ่งที่ไม่ดีบางอย่าง >> รู้สึกกังวลและเครียดมากหายใจไม่ทั่วท้องเลย หายใจเข้าออกลึกๆ ให้สุดปอดตลอดทั้งวัน และบอกกับตัวเองว่า "ถ้ามันไม่ร้ายแรงถึงกับตาย เราก็ไม่ต้องไปกลัวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรารับได้อยู่แล้ว เราแก้ไขปรับปรุงตัวเองได้ สบายมาก"



ทำไมโรงเรียนต้องบังคับนักเรียนชายให้ตัดผมด้วย หมดหล่อเลยเรา เผด็จการชัดๆ >> ลดความหล่อบ้างสักนิดก็ดีนะสาวๆ จะได้ไม่กวน ขอบคุณครับคุณครู ที่ช่วยให้ผมได้เรียนหนังสือเต็มที่กับเขาสักที



เจอพวกชอบโทร(สาธารณะ)นานแทบจะกางมุ้งนอนรอ >> ถ้าไม่กล้าเคาะเตือน ขณะที่เรายืนรอ ลองฝึกสังเกต คนพวกนี้เล่นๆ ก็ได้ สนุกดีนะ เช่น"เจ้าหมอนี่ นุ่งกางเกงยีนส์ปะๆ แต่ว่าซักสะอาด แสดงว่าชอบโชว์ความเก๋า แต่เล็บมือด๊ำดำ ว๊า! หมดท่าเลย สังเกตดูเสื้อสก๊อตสีน้ำเงิน ดูดีๆ ตะเข็บเย็บไม่ประณีต สงสัยจะเป็นเสื้อโหล ชอบยืนพิงตู้โทรคุยแบบนี้ น่าจะเป็นคนขี้เกียจนะ นั่นๆ มีสมุดเรียนเหน็บที่กระเป๋าหลัง อ๋อ! เรียนอยู่สถาบันนี้เอง เป็นต้น



เป็นคนขึ้อายมากเวลาคุยกับใครจะม้วนไปม้วนมา >> เป็นเฉพาะเวลาคุยกับหนุ่มๆ ใช่ไหม ให้คิดว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของเรา แม่รู้สึกยังไงกับลูกล่ะ เอ็นดูใช่ไหม สงสารใช่ไหม ให้มีเมตตากรุณาต่อผู้ชายทุกคนที่คุยด้วย แต่ไม่หวั่นไหวกับใครง่ายๆ ความอายจะหายไป

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

คนมีเสน่ห์

คนมีเสน่ห์








ผมเคยฝันอยากที่จะเกิดมาเป็นคนมีเสน่ห์ แต่บัดนี้จนแก่แล้วยังทำไม่ได้สักที จนกระทั่งได้มาอ่านบทความของอาจารย์ระเด่น ทักษณา ซึ่งเคยสอนผม แอบเป็นลูกศิษย์ของท่านเงียบๆ เสมอมา จึงนำเรื่องของเสน่ห์มาเล่าให้ฟังต่อ เพราะเห็นว่ามันคล้ายกับธรรมะปฏิบัติของพระพุทธเจ้ามาก คือ มาดต้องตา วาจาต้องใจ ภายในต้องเยี่ยม และเบ็ดเตล็ดอื่นๆ มาดต้องตานั้นมีส่วนทำให้เกิดเสน่ห์ทางตา ถึง 83% (ส่วนวาจาต้องใจ คือ ฟังด้วยหูแล้วเกิดเสน่ห์ เพียง 11% เท่านั้น)






มาดต้องตา 10 ประการมีดังนี้


1. มีนิสัยสดชื่นร่าเริงอยู่เสมอ การยิ้มแย้ม แจ่มใสกับผู้คนทำด้วยความจริงใจ ออกมาจากใจ


2. ชอบยกมือไหว้คนด้วยความนอบน้อม ลักษณะที่งดงาม สบตาทุกครั้งที่ไหว้ ศีรษะค้อม มือชิดอก และใจเคารพ


3. เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนกับทุกคน โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่แสดงอำนาจ วางท่าเย่อหยิ่ง เหนือผู้อื่น


4. เมื่อได้พบกับคนอื่นที่รู้จักกันแล้ว หรือครั้งแรกก็ตาม ควรจะแสดงความกระตือรือร้น ยินดีที่ได้พบ ที่ได้รู้จักกัน รีบลุกขึ้นยืนทักทายทันที


5. คนมีเสน่ห์ ไม่รู้สึกเสียเกียรติ ที่จะกล่าวคำขอโทษ หรือขอบคุณใครก็ตาม ตั้งแต่คนงาน คนรถ คนใช้ไปถึงระดับผู้ใหญ่ที่มีเกียรติ


6. คนมีเสน่ห์ จะมีความสง่างาม รู้จักวางตัวเหมาะสม เคลื่อนไหวช้าเกินไป ไม่เร็วจนลุกลี้ลุกลนเกินไป เมื่อเล่นก็เล่น เมื่อทำงานก็ทำงาน


7. แต่งกายให้ถูกกับกาลเทศะ ไม่แต่งตามใจเราเอง แต่แต่งตามสภาพของงานที่จะไป และสังคมสิ่งแวดล้อมที่กำลังมีงานอยู่


8. ถ้าหากงานที่จะไปนั้น เป็นงานใหญ่ของเจ้าภาพที่มีเกียรติยศและตำแหน่ง หน้าที่การงานสูง เราไม่สามารถแต่งกายให้สมเกียรติได้ก็อย่าไปดีกว่าเพราะว่า จะทำให้เจ้าภาพเขาเสียหน้า และกระอักกระอ่วนใจ


9. ในงานพิธีต่างๆ เมื่อเราได้รับเชิญให้ลุกขึ้นยืนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าชุมชน ควรจะกลัดกระดุม ให้เรียบร้อยทุกๆ เม็ด รวมทั้งสูทด้วย


10. คนมีเสน่ห์ เมื่อไปงานพิธีใหญ่ ต้องแต่งกายรัดกุม ถูกกาลเทศะไม่พกของตุงกระเป๋า เช่นโทรศัพท์มือถือหรือสะพายกล้องรุงรัง






วาจาต้องใจ


11. คนมีเสน่ห์ เมื่อพูดกับใคร หรือมีใครพูดด้วยต้องให้ความสนใจ 100% ด้วยอาการใจจดใจจ่อ และฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แม้เรื่องนั้นเราจะเคยฟังมาหลายครั้งแล้วก็ตาม


12. เราต้องพูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง จะไม่พูดในสิ่งที่เราอยากพูด โดยพยายามถามตนเองทุกครั้ง ก่อนจะพูดว่าเราควรจะพูดออกไปไหม


13. ให้พยายามพูดในภาษาของคนฟัง ไม่ใช่พยายามพูดในภาษาของคนพูด เพราะเมื่อพูดแล้วคนฟังน่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ


14. คนมีเสน่ห์ ควรแบ่งบทพระเอกให้คนอื่นเป็นบ้าง อย่าถือว่าเก่งคนเดียว เป็นเจ้านายคนเดียว เป็นหัวหน้าคนเดียว แบ่งให้คนอื่นบ้าง


15. ต้องไม่ยกตนข่มท่าน หลีกเลี่ยงในการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นว่าไม่ดี เราดีอยู่คนเดียว รังแต่จะสร้างศัตรู เร่งแก้ไขความบกพร่องของตัวเองจะดีกว่า


16. คนมีเสน่ห์ไม่พูดถึงความยากของตนเอง หรือบ่นแต่ความทุกข์ของตนเอง ให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะปัญหาหนักอกหนักใจ นอกจากเขาช่วยเราไม่ได้แล้ว เขาอาจจะนึกดูถูกเราด้วยซ้ำไปในความโง่ของเรา


17. อย่าพูดถึงความร่ำรวย มีเงินทองของตนเองเพราะว่าถึงเราจะรวยแต่เราก็คงไม่ยอม ไปแจกเงินเขาหรือให้ใครยืม เขาจะหมั่นไส้เอาเปล่าๆ


18.คนมีเสน่ห์ ย่อมจะไม่พูดถึงความเลวร้าย ความไม่ดีของคนในครอบครัว ลูกเมียของเรา ยกเว้นจะถูกคะยั้นคะยอเท่านั้น


19. คนมีเสน่ห์จะเป็นคนมีอารมณ์ขัน มีศิลปะในการเล่าเรื่องตลกบ้างเป็นครั้งคราว มีอารมณ์ขันสร้างบรรยากาศ ให้ครื้นเครงตามแต่กาลเทศะ แต่ไม่พร่ำเพรื่อจนกลายเป็นตัวตลกไป


20. ต้องไม่แสดงความรังเกียจ จนออกนอกหน้าเมื่อได้ยินเรื่องที่ไม่ถูก ไม่ว่าจะเรื่อง DIRTY JOXES ก็ตาม






ภายในต้องเยี่ยม


21. คนมีเสน่ห์ต้องมีน้ำใจ เอื้ออาทรต่อคนรอบข้าง "เงินยิ่งใช้ยิ่งหมด แต่น้ำใจยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม" ควรมีน้ำใจในเป็นทุกเรื่อง


22. คนมีเสน่ห์ย่อมทำตัวเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ เพราะว่าผู้ให้ย่อมมีความสุขมากกว่า การไปรับของจากผู้อื่น


23. เป็นคนมีความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี สังคมเคารพยกย่อง คนที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณมาก


24. คนมีเสน่ห์ ย่อมมีความเสมอต้นเสมอปลายไม่ว่าตกทุกข์ได้ยาก ตกงาน ว่างงาน หรือจะร่ำรวยมีฐานะดีก็ตาม


25. คนมีเสน่ห์จะเอาหลักศาสนาที่ตนนับถือ มาเป็นหลักปฏิบัติ ชาวพุทธจะปฏิบัติตนตามธรรมะ คือ ศีล 5 พรหมวิหาร 4 และเมตตาธรรม


26. การทำความดี เราถือว่าเป็นความสุข ไม่ใช่เพราะรอให้คนมาเห็นเราทำความดี จึงจะมีความสุข การทำความดีโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจะทำให้จิตใจเบิกบาน


27. เมื่อมีคนติติง ก็อย่าโกรธ เพราะว่าคำตินั้นมีประโยชน์ในการก่อมากกว่าคำชม ซึ่งจะทำลายและทำให้เหลิงและเสียคน


28. คนมีเสน่ห์จะแสดงความเคารพนับถือ ครูบาอาจารย์ วิทยากร ถึงแม้จะมีอายุน้อยกว่าก็ตาม ถ้าเราคิดว่าเราโง่ เราก็จะมีโอกาสเป็นคนฉลาด แต่ถ้าหากว่าเราคิดว่าเราเป็นคนฉลาดเราจะเป็นคนโง่ที่แท้จริง


29. ให้ความสนใจกับคำเชิญไปงานต่างๆ เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เรารักและเคารพ ถ้าหากเป็นไปไม่ได้จริงๆ ควรจะโทรศัพท์ไปขอโทษ และส่งของขวัญตามไปภายหลัง งานศพนั้นความไปเสมอ


30. คนมีเสน่ห์ ควรให้อภัย ไม่อาฆาตจองเวรคนที่ให้อภัยเป็นทานจะมีใบหน้ารอยยิ้ม อิ่มเอิบ ผุดผ่องเสมอ คนโกรธจะมีใบหน้าบึ้งตึงไร้เสน่ห์






เบ็ดเตล็ด


31. คนมีเสน่ห์ย่อมจดจำวันเกิดของเพื่อน คนที่รู้จัก หรือคนที่สนิทได้ แล้วส่งของขวัญวันเกิด ดอกไม้หรือโทรศัพท์ไปแสดงความยินดี


32. คนมีเสน่ห์ย่อมเตรียมนามบัตรไว้จำนวนหนึ่งให้พอแจกเสมอ เมื่อยื่นนามบัตรให้ยื่นในระดับสายตา ผู้รับอ่านเห็น และควรอ่านชื่อตนเองดังๆ เพื่อเขาจะได้ทราบว่าชื่อของเราอ่านว่าอย่างไร


33. เมื่อมีผู้มอบนามบัตรให้ เราควรจะยกมือขึ้นรับและไหว้ ควรอ่านชื่อในนามบัตรของเขาดังๆ เพื่อให้จดจำชื่อของเขาได้


34. นามบัตรเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อราได้รับนามบัตรอย่าเพิ่งรีบเก็บเข้ากระเป๋า ควรวางบนโต๊ะในที่มองเห็นตลอดเวลา อย่าให้เปื้อน แล้วเก็บไปด้วยเสมอ


35. เมื่อมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วในโต๊ะอาหารหรือนั่งประชุม ควรจะขออนุญาตเมื่อจะเข้าไปนั่งด้วย และกล่าวคำขอโทษก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ อย่าลุกไปเฉย


36. ผู้มีเสน่ห์เมื่อนั่งอยู่ในโต๊ะอาหารหรือที่ประชุมควรยิ้มต้อนรับหรือกล่าวคำทักทาย ผู้มาใหม่เสมอ หรือผู้ที่จะลุกออกไปจากโต๊ะ


37. เมื่อนั่งโต๊ะอาหาร ควรคลี่ผ้ากันเปื้อนไว้เป็นรูปสามเหลี่ยมบนตัก อย่าใช้ผ้ากันเปื้อนเช็ดปาก เช็ดหน้า เช็ดมือเป็นอันขาด และเมื่อลุกจากโต๊ะควรพับผ้ากันเปื้อนแล้ววางเอาไว้บนโต๊ะ


38. เมื่อรับประทานอาหารเสร็จควรรวบช้อนส้อมเข้าด้วยกัน พนักงานเสิร์ฟจะได้มาเก็บจานไป แต่ถ้ายังรับประทานไม่เสร็จ ให้วางช้อนและส้อมเป็นรูปตัววี


39. คนมีเสน่ห์ เมื่อตักอาหารบุฟเฟ่ต์ ควรตักกับข้าวอย่างเดียว อย่าตักทุกอย่างรวมกันจนล้นจาน เหมือนคนตายอด ตายอยาก เมื่อไม่พอกินก็ตักมาใหม่


40. เมื่ออาหารติดฟัน ไม่ควรที่จะใช้มือแคะอาหารออกจากปาก อาจจะใช้มือป้องแล้วแคะฟัน แต่ที่ดีที่สุดควรจะลุกไปทำในห้องน้ำจะดีกว่า


41. คนมีเสน่ห์เมื่อไปงานเต้นรำ ควรจะหาคู่เต้นไปเอง ไม่ควรไปล่าหาเหยื่อ ถ้าหากจะไปขอสุภาพสตรีอื่นในโต๊ะ ควรจะขออนุญาตสุภาพบุรุษในโต๊ะเสียก่อน และเมื่อเต้นเสร็จแล้ว ควรพามาส่งคืนที่โต๊ะพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ


42. คนมีเสน่ห์ เวลาเล่นกอล์ฟ เขาจะไม่พูดคุยหรือแสดงอาการรบกวนคนที่กำลังพัทท์กอล์ฟ และเมื่อเขาพัทท์ลูกกอล์ฟลงหลุม ควรจะแสดงความยินดีอย่างจริงใจ


43. เมื่อถูกเชิญขึ้นไปร้องเพลง ต่อหน้าคนมากๆ ควรจะขึ้นไปร้องเพลงเฉพาะเพลงที่ตนถนัด และแน่ใจเท่านั้น ถ้าหากร้องไม่ได้จริงๆ ควรจะปฏิเสธดีกว่าขึ้นไปเสียหน้าบนเวที


44. คนมีเสน่ห์ เมื่อเจ็บป่วย เวลาไอหรือจาม ในที่ชุมนุมชนควรจะใช้ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากจมูกเสมอ ถ้าเลี่ยงได้ ควรเลี่ยงออกมาภายนอก


45. เมื่อไปเยี่ยมคนป่วย ควรเลือกของเยี่ยมที่เหมาะสมกับคนป่วยและภาวะของโรค เช่น ของกิน ของใช้ ดอกไม้ หรือหนังสือที่เหมาะกับคนไข้


46. ผู้มีเสน่ห์ย่อมไม่ขับรถปาดหน้าผู้อื่น ไม่บีบแตรไล่ ไม่เปิดไฟไล่หลัง และไม่แย่งที่จอด เมื่อมีผู้อื่นกำลังรออยู่ก่อนเรา


47. คนมีเสน่ห์ ย่อมเป็นคนตรงต่อเวลา ให้ความสำคัญกับการนัดหมายทุกครั้ง ไม่ควรอ้างว่า นาฬิกาปลุกเสีย รถติด เพราะว่าเชยหมดสมัยแล้ว






จากตัวอย่างของ คนมีเสน่ห์ที่เขียนมาเพียงน้อยนิด ยังมีเสน่ห์อีกมากมาย ที่เราจะสร้างขึ้นมาได้ เพราะว่าเสน่ห์ไม่ใช่ของที่ได้มาแต่เกิด เป็นมารยาทสังคมที่เราต้องเรียนรู้ และสร้างนิสัยขึ้นมา เหมือนในโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท เราจะมีการฝึกอบรมเสน่ห์มารยาท การยิ้ม พนักงานอย่างต่อเนื่อง เมื่อคนป่วยจะป่วยทั้งกายและใจ การต้อนรับของผู้ให้บริการ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดความประทับใจ เหมือนธรรมะทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดเสน่ห์ และเป็นที่รักของคนทั่วไป

เข้าใจผู้หญิง

เข้าใจผู้หญิง


เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก... บางอย่างยากที่จะเอ่ยจากปากให้ชายรู้ มีคนชอบกล่าวว่า ผู้หญิงมีหลายหน้า บางเวลาอาจเป็นเทพธิดา แต่บางเวลาอาจกลายเป็นนางมารร้ายขึ้นมา โดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งพระอุมาเทวี บางเวลายังอาจกลายเป็นนางกาลีไป ก็ได้ แต่นั่น ก็เป็นเพียงแค่คำร่ำลือ หรือเรื่องราวที่พูดกันต่อๆ มาเท่านั้น ไม่ได้มีข้อมูลหรือข้อเท็จจริงใดๆมาพิสูจน์ ขณะเดียวกันก็ไม่ค่อยจะมีหลักฐานอะไรมาหักล้าง ความเชื่อเหล่านั้นเช่นกัน ตราบใดที่โลกเรายังคงดำรงอยู่ ไม่หยุดหมุน โลกเราก็ยังคงมีความรักระหว่างหนุ่มและสาว แม้ว่าจะน้อยลงทุกวัน เนื่องจากหลายคนเริ่มหันไปรักเพศเดียวกันเพราะเข้าใจกันมากกว่า แต่ความรักระหว่างผู้ชายและผู้หญิงก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป และจำต้องมีความเข้าใจในกันและกันมากขึ้น และมากขึ้น เพราะความรักที่แท้จริงก็คือ การเข้าใจและให้อภัยในความผิดพลาดของกันและกัน รวมทั้งการพยายามปรับตัวเข้าหากันด้วย การเรียนรู้ซึ่งกันและกันจึงเป็นพื้นฐาน ของการใช้ชีวิตคู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้กระทั่งในตำราพิชัยสงครามของซุนวู ยังว่าไว้ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งมาเริ่มเรียนรู้คุณผู้หญิงกันดูบ้างจะดีไหมครับ !! เริ่มจากกำจัดความเข้าใจผิดที่มีต่อกันและกันก่อน...ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง
 ผู้หญิงพอใจอะไรยาก ?
ผู้ชายมักจะชอบพูดถึงผู้หญิงในแง่นี้เสมอๆว่า เข้าใจยาก พอใจอะไรยาก ชอบเปลี่ยนใจง่าย บางคนถึงกับบอกว่า พวกเธอเปลี่ยนใจทุกวินาที วินาทีละหลายร้อยครั้ง ซึ่งน่าจะไม่เป็นจริง ที่จริงแล้ว ผู้หญิงมักจะพอใจอะไรที่ดีกว่า และอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่าเดิม ของคนที่พวกเธอรัก ไม่ว่าจะเป็นสามี หรือลูกๆ เธอจึงดูเหมือนชอบ ขี้บ่น ติโน่น ติงนี่อยู่ตลอดเวลา... โดยเฉพาะหลังจากตกลงปลงใจว่า จะใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายคนนี้ คนที่เธอรัก เคยสังเกตไหมครับว่า ก่อนแต่งงาน ก่อนใช้ชีวิตคู่ ตอนรักกันใหม่ๆนั้น เธอไม่ค่อยติติงเท่าใด ก็เพราะเธอยังไม่แน่ใจว่าจะรักหรือตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตด้วยหรือไม่ แต่พอเธอแน่ใจแล้ว มั่นใจแล้ว เธอก็จะไม่เปลี่ยนใจรัก เธอจึงอยากให้คนที่เธอรักดีขึ้น... ตอนนั้นแหละเหมือนเธอเอาใจยากขึ้น ที่จริงตอนรักกันก็เอาใจยากอยู่แล้ว !! ...เพราะเธอต้องการอะไรที่ดีกว่าที่คุณเสนอ แต่ถ้าคุณเสนอสิ่งที่ดีที่สุดแก่เธอ... เธอจะรับโดยดี โดยไม่บ่นว่า ดังนั้น ถ้าคุณผู้ชายคนไหนยังคิดว่าแฟนของคุณพอใจอะไรยาก ก็แสดงว่าสิ่งที่คุณทำให้เธอยังไม่ดีพอ หรือไม่ใช่ที่เธอต้องการเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่า เธอเอาใจยากเลย
·      ผู้หญิงมักจะมีอารมณ์เพศยาก ?
จริงอยู่ ที่ผู้หญิงเกิดอารมณ์พิศวาสและไปถึงจุดสุดยอดได้ยาก และใช้เวลายาวนานกว่าผู้ชาย แต่ถ้าคุณผู้ชายเข้าใจเธอสักหน่อย คุณสามารถที่จะทำให้เธอมีอารมณ์พิศวาส และสามารถจะตอบสนองต่อคุณ เพื่อที่จะไปยังจุดหมายปลายทางที่ฝันรวมกันเอาไว้ นั่นก็คือ การให้ความรักแก่เธอให้มากๆ ให้เธอรับรู้ว่า คุณรักเธอคนเดียว ปรารถนาเธอคนเดียว และมีเธอคนเดียวเท่านั้นที่คุณอยากจะแสดงความรัก ด้วยการมีสัมพันธ์สวาทกัน นั่นเป็นสิ่งที่สามารถจุดไฟปรารถนาของเธอให้คุโชนขึ้นง่ายที่สุด ผู้หญิงต้องเกิดความรักก่อน จึงจะเกิดอารมณ์เพศ และมีไฟปรารถนาที่จะร่วมรัก ผู้ชาย เมื่อได้ร่วมรักจนสุขสมแล้ว ก็จะรู้สึกผ่อนคลายหายเครียด แต่ผู้หญิง ต้องรู้สึกผ่อนคลายหายเครียดก่อน จึงอยากจะร่วมรัก ถ้าคุณผู้ชายสามารถทำให้เธอหายเครียดด้วยความรักของคุณที่มีต่อเธออารมณ์ปรารถนาของเธอ ก็จะเกิดขึ้น และร่วมรักกับคุณอย่างเป็นธรรมชาติ จนมีความสุขสมร่วมกันครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย
·      ผู้หญิงไปถึงจุดสุดยอดได้ยาก !
เป็นความจริงที่ผู้หญิงไปถึงดวงดาวได้ยาก และต้องใช้เวลานานมากกว่าผู้ชาย ทั้งนี้ก็เพราะเธอต้องการเวลาในการค่อยๆเพิ่มอารมณ์เพศสักช่วงระยะหนึ่ง ก่อนที่ร่างกายของเธอจะได้รับการกระตุ้น จนไปถึงจุดสุดยอด ผู้หญิงต้องการกระตุ้นจุดสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการกอด สัมผัสลูบไล้ไปยังส่วนต่างๆ ที่ยังไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ปราการด่านสุดท้าย ที่ผู้ชายหวังจะโจมตี จนเมื่อเธอแสดงอาการว่า อยากให้สัมผัสส่วนนี้ของเธอแล้ว คุณค่อยเริ่มกระตุ้น และการกระตุ้นส่วนสงวนของเธอนั้น ก็ต้องใช้เทคนิคเช่นกัน ถ้าคุณจะใช้มือกระตุ้นให้เคลียเคล้าบริเวณข้างๆ ปากทางก่อน ค่อยไล่ลงมายังกลีบเนื้อที่ปิดปากถ้ำสวรรค์ไว้ แล้วค่อยไปยังปุ่มปมประสาทสัมผัสที่เรียกว่าคลิตอริส... อย่านะ อย่าใช้นิ้วมือคุณกดลงไปทันที เพราะจะทำให้เธอเจ็บจนหมดอารมณ์ที่จะเริงรักกับคุณ คุณต้องค่อยๆใช้นิ้วคุณวนๆ รอบๆ ปุ่มสัมผัสดังกล่าวก่อน จนแน่ใจว่าเธอมีอารมณ์มากแล้ว จึงค่อยๆ เน้นตรงจุดอย่างเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขอย้ำนะครับว่า ผู้หญิงนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ชอบอะไรที่สม่ำเสมอ มั่นคงและต่อเนื่อง... รวมทั้งการกระตุ้นให้เธอไปถึงดวงดาวด้วย ผู้หญิง ส่วนใหญ่ไปถึงจุดสุดยอดด้วยท่า "มิชชันนารี" เพราะร่างกายของฝ่ายชาย ที่ทานทับลงไปบนตัวเธอนั้น ทำให้เวลาที่เขาขยับส่วนนั้นของเขาเข้าออกเพื่อการสัมผัสรักกับเธอ ปุ่มคลิตอรัสจะได้รับการเสียดสีกับกระดูกหัวเหน่าของเขาเป็นการกระตุ้น ขณะเดียวกัน ปุ่มดังกล่าวก็จะมีการยืดขึ้นและหดลง ตามจังหวะของการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ ที่เธอและเขาร่วมกันแสดงนั้น แล้วจะทำให้เธอไปถึงดวงดาวได้โดยง่าย
·      ผู้หญิงต้องการเงินมากกว่าความรัก ?
ผู้ชายหลายราย มักจะมีความรู้สึกนึกคิดเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้ว ผู้หญิงหลายคนที่แม้ว่าร่างกายบางส่วนของเธอสามารถจะซื้อหาได้ด้วยเงินตรา แต่เธอก็ยังคงเหลือบางส่วนไว้ให้คนที่เธอรักเสมอ... สงสัยไหมครับ บทสัมภาษณ์ผู้หญิงขายบริการคนหนึ่งบ่งบอกว่า เธอยอมมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบใด แต่เธอไม่ยอมจูบปากอย่างดูดดื่มกับลูกค้าคนใดเลย เธอบอกว่า เธอเก็บจูบที่บริสุทธิ์ของเธอไว้ให้ชายคนที่เธอรักเท่านั้น คนอื่นไม่มีวัน ไม่ว่าจะให้เงินทอง เธอมากน้อยแค่ไหน หรือเธอจะพอใจมากขนาดใด เพราะลูกค้าก็คือลูกค้า ไม่ใช่ชายคนรัก เงิน จึงอาจจะซื้อความรักได้... แต่ไม่ใช่รักแท้ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากได้รักแท้จากผู้หญิง ต้องเอารักแท้ของคุณไปแลกมา จึงจะได้รักแท้จากเธอ
·      ผู้หญิงชอบขี้บ่นจู้จี้จุกจิก
ผู้หญิงจู้จี้และขี้บ่นก็เพราะ คนที่อยู่รอบข้างเธอไม่ได้สนใจในรายละเอียดที่เธออยากจะให้สนใจ เช่น เวลาจะแสดงความรักกัน ถ้าเธอรู้สึกว่า ตัวเองหรือเขาไม่สะอาด เธอก็จะไม่มีอารมณ์ หรืออาจเอ่ยปากบอกให้ทำอย่างโน่นอย่างนี้ก่อน เช่น
·       รอเดี๋ยวนะที่รัก ขอไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยมีอะไรกัน
·       วันนี้ไม่เอา ไม่ให้ใช้ปากทำ ยังไม่ได้อาบน้ำเลย
·       มีเมนส์อยู่ ทำไม่ได้นะ สกปรกจะตาย
·       พรุ่งนี้ไม่ได้ หรือคืนนี้ปวดหัว
นั่นก็คงจะเป็นหนังตัวอย่าง ที่บางครั้งผู้ชายคิดว่าเธอปฏิเสธที่จะมีสัมพันธ์สวาทกัน ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้คิดเลย เพียงแต่ขอให้รอก่อน ขอให้สะอาดก่อนเท่านั้นก็พอแล้ว เข้าใจเธอเสียหน่อย รู้จักหัดทำเป็นไม่เห็นเสียบ้าง ไม่ได้ยินเสียบ้าง และหัดไม่โต้ตอบในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เสียบ้าง คุณก็จะเป็นสุภาพบุรุษที่เธออยากจะรัก และร่วมรักด้วยทั้งกายและใจ
·      เคล็ดลับการอยู่กับผู้หญิง
กล่าวว่า ผู้หญิงเกิดมาเพื่อแสวงหาความรัก ความอบอุ่น ความมั่นคง และความจริงใจ จากคนที่เธอรัก เธออาจจะรักใครได้ยาก แต่เมื่อเธอแน่ใจในความรักที่เขามีต่อเธอแล้ว เธอก็จะรักเขาตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปร... เพราะนั่นเป็นธาตุแท้ของผู้หญิง แต่เธอชอบจู้จี้ขี้บ่น เอาใจยาก และชอบเปลี่ยนใจเรื่องโน้นเรื่องนี้บ่อยๆ บางครั้งตัดสินใจยาก และโลเลในเรื่องไม่เป็นเรื่อง... ยกเว้นความรักต่อชายคนที่เธอรักเท่านั้น ที่จะคงทนตลอดไป เพราะฉะนั้น ถ้าคุณผู้ชายค้นพบผู้หญิงคนที่คุณคิดจะใช้ชีวิตคู่ด้วยแล้ว และมั่นใจว่านั่นเป็นความรักแท้แล้ว ละก็

 " รักเธอให้มากๆ เข้าใจเธอให้น้อยๆ " แล้วคุณก็จะมีความสุข

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

วิถีขงจื๊อสู่ความเป็นเลิศเหนือคน - ดร.บุญชัย โกศลธนากุล ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ

 

ขงจื๊อเป็นนักคิดคนสำคัญยิ่งของโลก เป็นทั้งนักศึกษา นักรัฐศาสตร์ นักปรัชญา และที่สำคัญคือ เป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลทางความคิดมากที่สุดในแผ่นดินจีน คำสั่งสอนของขงจื๊อเป็นรากฐานทางสังคม การเมืองและวัฒนธรรมของทั้งจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีมาจนถึงปัจจุบันแนวคิดของขงจื๊อไม่เพียงแต่เน้นให้คนมีคุณธรรม แต่ยังเป็นแนวทางนำไปสู่ความมีอัจฉริยภาพ คือทำให้รู้ว่าในเวลาหนึ่ง คนเราควรจะคิดอะไร วางตัวอย่างไร คบเพื่อนแบบไหน เพื่อทำให้เราใช้ศักยภาพและเวลาที่มีจำกัดให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด แก่นคำสอนของขงจื๊อสรุปได้เป็น 5 หัวข้อดังนี้

1. บุคลิกภาพของมนุษย์ที่แท้

มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบของขงจื๊อ คือคนมีบุคลิกโดดเด่นเหนือคนทั่วไป มีพลังดึงดูด โน้มน้าวใจคน และมีคุณธรรมเที่ยงตรง ทำให้มีอำนาจเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป คุณลักษณะ 7 ประการ ที่จะช่วยให้มนุษย์มีพลังอำนาจตามวิธีคิดของขงจื๊อ คือ

‘ นอบน้อม เพราะคนนอบน้อมจะไปทำอะไร ที่ไหน ย่อมไม่เป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป

‘ เมตตากรุณา เพราะคนมีเมตตากรุณา มักจะมี positive aura บนใบหน้าที่ทำให้สามารถเอาชนะใจคนได้โดยง่าย

‘ จริงใจ เพราะจะส่งผลให้มีบุคลิก ซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของผู้อยู่เหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา และบุคคลทั่วไป

‘ จริงจัง เพราะย่อมทำทุกสิ่งทุกอย่างลุล่วงลงได้

‘ ใจคอกว้างขวาง เพราะย่อมใช้ให้คนทำงานแทนได้ และสามารถเป็นผู้นำที่ดี

‘ ไม่กินอิ่มเกินไป ไม่แสวงหาความสะดวกสบายจนเกินไป เพราะจะทำให้กลายเป็นคนเกียจคร้าน ไม่แสวงหาหนทางปรับปรุงชีวิต พัฒนาตนเองในขณะที่ยังมีกำลังวังชา และสติปัญญาสมบูรณ์

‘ มีอารมณ์มั่นคง ไม่หวั่นไหวง่าย ถ้ากล่าวแบบคนสมัยใหม่ ก็คือการมี EQ สูง

2. วิธีคิดของผู้มีปัญญา

คนเราเกิดมา มีปัญญาสูงต่ำไม่เท่ากัน มีโอกาสในการศึกษาไม่เท่ากัน แต่ขงจื๊อเห็นว่าในชีวิตประจำวันคนเราสามารถค่อยๆ สร้างสมพัฒนาสติปัญญาให้ได้ด้วยตนเอง โดยการเปลี่ยนปรับวิธีคิดเสียใหม่ เลิกคิดปรุงแต่ง และคิดถึงเรื่องไร้สาระ และหันมาพิจารณาเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์แทน ดังนี้

‘ มนุษย์ที่แท้ จะต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า ทำอย่างไร เราจึงจะมองอะไรแล้วสามารถจะเห็นและเข้าใจสิ่งนั้นทะลุปรุโปร่ง และเมื่อได้ยินอะไรแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะฟังให้เข้าใจได้หมด ซึ่งก็คือการใช้สมาธิตั้งใจดู ตั้งใจฟัง นั่นเอง ปัญหาของจำนวนมาก คือ ดู เห็น ฟัง แล้วเข้าใจไม่หมด ตีความผิด ตีความเข้าตนเอง เอาตนเองเป็นที่ตั้งอยู่ตลอด ถ้าแก้ไขจุดนี้ได้ เราก็จะมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งต้องใช้ประกอบการคิด การตัดสินใจต่อไป

‘ อย่าคิดกังวลว่าใครจะยอมรับยกย่องเราหรือไม่ แต่ให้เป็นกังวลมากๆ ว่า ขณะนี้เรายังขาดคุณสมบัติข้อใดที่ทำให้ยังไม่เป็นที่ยกย่องของผู้คน และอย่าเป็นกังวลว่าคนอื่นจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของเรา แต่ให้กังวลว่าตัวเราจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของคนอื่นดีกว่า

จุดนี้คือ ขงจื๊อต้องการให้คนเราเน้นการพิจารณา เข้าใจ และปรับปรุงตนเอง ในขณะที่แนวโน้มของคนโดยทั่วไปจะชอบ 'ส่องนอก ไม่ส่องใน' และใช้เวลาไปกับการจับผิด วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเสียมาก

‘ เวลาเห็นช่องทางได้ผลประโยชน์ ต้องคิดถึงความยุติธรรมด้วยขงจื๊อเห็นว่ามนุษย์เรามีแนวโน้มจะคิดแบบเห็นแก่ได้ และตัดสินใจผิดพลาด เมื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น เพื่อจะไม่ทำผิดคุณธรรม คนเราต้องพิจารณาเรื่องความยุติธรรมอยู่เสมอๆ ความยุติธรรมที่ให้พิจารณาก็คือ หลักการง่ายๆ ถ้าเราไม่ชอบอะไร รังเกียจอะไร ก็จงอย่าทำกับคนอื่นแบบนั้น คิดได้แค่นี้

‘ นอกจากนี้ ขงจื๊อยังให้ข้อเตือนใจไว้ว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องหัดคิดการณ์ไกล เพื่อจะได้ไม่ต้องหลงทาง นอกจากนี้ เวลาร่ำเรียนศึกษาก็ต้องหัดคิดตาม เพราะคนที่ศึกษาหาข้อมูลต่างๆ โดยไม่คิด ย่อมไม่ฉลาดมากนัก ในทางตรงกันข้าม คนที่เอาแต่คิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ โดยไม่ชอบศึกษาหาข้อมูล ก็จะเป็นเพียงการคาดเดาหรือ speculation ย่อมจะคิดผิดพลาดได้ง่ายๆ ดังนั้น คนเราต้องหัดฝึกฝนการคิดและการศึกษาหาข้อมูลไปพร้อมๆ กัน

3. ระเบียบวินัย

ขงจื๊อกล่าวถึงระเบียบวินัย 3 ประการ ของคนวัยต่างๆ กัน

‘ วัยหนุ่มสาว พลังยังไม่มั่นคง ต้องมีวินัยเรื่องกามคุณ

‘ วัยกลางคน พลังกายใจเข้มแข็งมากที่สุด ต้องมีวินัยเรื่องความพึงพอใจ อย่าเพิ่งเฉยชาหรือพอใจกับอะไรง่ายๆ

‘ วัยชรา หมดเรี่ยวแรง พลังงานถดถอย ต้องมีวินัยกับความโลภ คืออย่ามีความต้องการมากมายไม่มีที่สิ้นสุด

4. การคบคน

ขงจื๊อเชื่อว่า ชีวิตคนเรา จะสุข ทุกข์ ประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องคบหาด้วย ดังนั้น ขงจื๊อจึงมีกฎในการเลือกคบคน ดังนี้


ข้อแรก ไม่คบหาคนที่มีคุณงามความดีไม่เท่าเราข้อสอง ไม่แสวงความเห็น หรือปรึกษาหารือคนที่มีเส้นทางชีวิตไม่เหมือนเราข้อสาม คนที่ควรคบหาคือ คนที่มีความซื่อตรง จริงใจ และมีความรู้ข้อสี่ พึงเลี่ยงคบหาบุคคลที่เสแสร้ง พูดจาไร้สาระ ฉวยโอกาส ฟุ้งเฟ้อข้อห้า เมื่อคบหาใครเป็นเพื่อนแล้ว จงมีความจริงใจต่อกัน แต่อย่าปล่อยให้เขาชักนำเราไปในทางที่ต่ำ

5. การพูด

คำพูดของเราต้องแสดงออกถึงความ ซื่อตรง สอดคล้องกับกิริยาทางกาย เพราะถ้าหากคำพูดเราเกิด พร้อมกับกิริยา มุ่งมั่นจริงใจ พูดสิ่งใดก็ย่อมประสบผลเป็นที่น่าเชื่อถือ

6. การวางตัว

คนเราจะมีคนรักทั่วทิศ หากวางตัวได้ดังนี้
เวลาอยู่นอกบ้านแล้วพบผู้คน วางตัวเรากับคนผู้นั้นเป็นแขกสำคัญในบ้าน

เมื่อต้องสั่งการ วางตัวราวกับเราเป็นแม่งานของพิธีการที่สำคัญยิ่งใหญ่ (คนที่เป็นแม่งานจะต้องเป็นภาพงานทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบอย่างรอบด้าน และมีจิตมุ่งมั่นต้องการทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ในระยะเวลาที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะฉะนั้นเวลาคนเป็นแม่งานสั่งงาน จะไม่สักแต่ว่าขอให้ใครทำอะไร แต่จะคิด อย่างรอบคอบถึงผลที่ตามมา จะไม่สั่งการ แบบขอไปที แต่จะต้องมีการติดตามผล แนะนำเพื่อให้งานลุล่วงไปได้)

อะไรที่เราไม่ชอบ ก็อย่าปฏิบัติต่อคนอื่น
เข้มงวดต่อตนเอง แต่ให้อภัยคนอื่น

7. การวางจิต

ขงจื๊อเน้นการมีจิตใจที่ซื่อตรง เขาเห็นว่าประเทศชาติจะสงบสุขได้ครอบครัวต้องดีก่อน แต่ครอบครัวจะดีได้ มนุษย์แต่ละคนต้องมีคุณธรรม มนุษย์แต่ละคนจะมีคุณธรรม ก็ต้องมีจิตใจที่ซื่อตรงและจิตใจที่ซื่อตรง จะมีได้ก็ต้องมีเจตนาที่ซื่อตรงก่อน

ขงจื๊อเน้นจิตที่สามารถมองอะไรชัดเจน ทะลุปรุโปร่ง จิตเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็จากการมองเห็นและรู้จักตนเองอย่างรอบด้านก่อน

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

MV กอดฉันไว้ จ๊อบ บรรจบ

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นิสัยแห่งความสำเร็จ 7 ประการ

บทความที่นำเสนอสรุปประเด็นจากหนังสือยอดนิยมตลอดกาลเรื่อง The Seven Habits of Highly Effective People แต่งโดย Steven Covey มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้


ผู้แต่งมีความเชื่อในสมมติฐานที่ว่า คุณคิดอย่างไร คุณก็จะเป็นคนเช่นนั้น (You are what you think)


วิธีคิดหรือกรอบการมองโลก (paradigm) ของคนเราจะถูกกำหนดโดยสังคมและคนรอบข้าง และน้อยคนนักที่จะรู้ว่า ตนเองมีกรอบการคิดอย่างไรหรือถ้ารู้ก็รู้เพียงบางส่วน เพราะคนเหล่านั้นไม่เคยที่จะนั่งเงียบ ๆ สงบจิตสงบใจเพื่อลองทบทวนดูว่า กรอบการมองโลกที่ส่งผลให้เราพูด คิด และมีพฤติกรรมมาจนถึงทุกวันนี้มีอะไรบ้างทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ผู้แต่งเชื่อว่า ทุกครั้งที่คนเรามีความทุกข์แสดงว่า เรามีการมองโลกที่ผิดหรือฝืนกับกฎธรรมชาติ ฉะนั้น หากเรารู้ทันตัวเองและแก้ไขการมองโลกที่ผิดนั้นเสีย เราจะมีความสุขและประสบความสำเร็จ การเปลี่ยนแปลงมุมมองในการมองโลก ลักษณะนิสัย หรือบุคลิกภาพของตัวเราจะต้องเปลี่ยนจากข้างใน เช่น เมื่อเราประสบปัญหาหรือทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น ให้เรากล้าที่จะมองสถานการณ์นั้นตามความเป็นจริงว่า เรามีส่วนในการสร้างปัญหาหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นหรือไม่อย่างไร ในขณะที่มองจะต้องดึงตัวเองออกมาและใช้ความรู้สึกเป็นตัวมอง เมื่อนั้นเราจะเริ่มมองเห็นกรอบการมองโลกและนิสัยที่แท้จริงของตนเอง ผู้แต่งได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ทุกข์หรือความล้มเหลวนั้นมักเกิดจากการที่มนุษย์คิดจะพึ่งพลังภายนอกตลอดเวลา เช่น การคอยให้คนมาชื่นชมหรือให้กำลังใจ ผู้แต่งได้นำเสนอหลักของนิสัย 7 ประการที่จะช่วยให้เรา (1) ปรับเปลี่ยนกรอบในการมองโลกที่ทำให้เราไม่มีความสุข (2) หัดพึ่งพลังภายใน (3) มองเห็นข้อดีข้อเสียของตัวเอง และ (4) มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง นิสัยทั้ง 7 ประการดังกล่าว มีดังนี้






นิสัยที่หนึ่งคือ รู้และเลือก (Be proactive)


การรู้และเลือกในที่นี้คือ การมีสติรู้เนื้อรู้ตัวว่ากำลังคิด กำลังพูด กำลังทำอะไรอยู่ และสามารถเลือกได้ว่าจะตอบโต้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไรที่จะสร้างความเดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่นน้อยที่สุด และพร้อมที่จะรับผิดชอบกับผลที่จะเกิดขึ้นอย่างมีสติโดยไม่โยนความผิดให้ผู้อื่น และเชื่ออยู่เสมอว่าเราสามารถสร้างชะตาชีวิตของตนเองได้ ผู้แต่งมีความเห็นว่า คนเรามีสิทธิ์ “เลือก” ที่จะสุขหรือทุกข์ก็ได้เช่น เมื่อเราโดนคนวิพากษ์วิจารณ์หรือติฉินนินทา เรามีสิทธิ์เลือกที่จะใส่ใจหรือไม่ใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้นก็ได้ แต่ไม่ใช่ให้อวดดีและไม่ฟังใคร แต่ให้รับรู้ด้วยสติและพิจารณาด้วยปัญญาว่าเราเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็ควรแก้ไข แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ทำไม่ได้เพราะไม่รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าตนเองเป็นคนมีนิสัยอย่างไร มีหลักคุณธรรมประจำใจอะไรบ้าง และมีเป้าหมายอะไรในชีวิต เมื่อไม่มีจุดยืนในตัวเอง จิตใจจะถูกฉุดกระชากให้สุขหรือทุกข์ไปตามพฤติกรรมของคนรอบข้างและสิ่งแวดล้อมภายนอกเช่น เมื่อได้รับคำชมก็ดีใจมีความสุข แต่เมื่อถูกด่าก็มีความทุกข์ เป็นต้น ผู้แต่งเชื่อว่าคนเรามีสิทธ์ที่มีชีวิตที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริงและสร้างสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตเองได้ ถ้ามีสติรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่และรู้จักเลือกว่าจะตอบสนองอย่างไร การจะมีจุดยืนในตัวเองได้ต้องเริ่มจากการรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้และยอมรับในสิ่งที่มันเป็นเสียก่อน ผู้แต่งกล่าวเพิ่มเติมว่า มนุษย์มีสิ่งที่แตกต่างจากสัตว์คือ (1) มีสติรู้เนื้อรู้ตัว (2) มีจินตนาการและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (3) มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและมีคุณธรรม (4) มีความยับยั้งชั่งใจรู้ว่าสิ่งไหนควรหรือไม่ควรทำ ฉะนั้น ให้เราลองเปรียบเทียบดูว่า เรามีคุณธรรมประจำใจมากน้อยแค่ไหน เข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากน้อยเพียงใด เพราะคนที่รู้และเลือกในมุมมองของผู้แต่งคือ คนที่มีสติ มีความกล้าหาญ กล้าเผชิญกับปัญหาแต่ไม่ใช่คนที่รู้มากและเลือกเอาแต่ประโยชน์ใส่ตัว ผู้แต่งเชื่อว่า คนที่กล้าเผชิญกับปัญหาคือ คนที่รู้จักวิเคราะห์ปัญหา และรู้ดีว่าตนสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเองหรือไม่ หรือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วย และจะไม่ยอมให้สิ่งแวดล้อมภายนอกมาชักจูงให้เราทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องโดยเด็ดขาด ในกรณีที่ปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ คนที่รู้จักรู้และเลือกจะรับรู้และทำใจวางเฉยได้ โดยไม่ตีโพยตีพายและกล่าวโทษผู้อื่น






นิสัยที่สองคือ สร้างเป้าหมายในชีวิตเป็นมโนภาพ (To begin with the end in mind)


วิธีหาเป้าหมายที่สำคัญในชีวิตที่ง่ายที่สุดคือ ให้ลองจินตนาการว่า ถ้าเราจะต้องจากโลกไปในวันนี้ เราอยากจะให้คนข้างหลังพูดถึงตัวเราในแง่ใดบ้าง เราอยากจะทิ้งอะไรไว้ให้เป็นมรดกแก่โลกใบนี้บ้าง และให้ถามตัวเองว่า ชีวิตนี้ก่อนตายอยากทำอะไรจริง ๆ เมื่อรู้จุดมุ่งหมายที่แท้จริงในชีวิตแล้วให้เราลองจินตนาการต่อไปถึงสิ่งที่เราปรารถนาในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โดยภาพในจินตนาการนั้นจะต้องเต็มไปด้วยแสงสีเสียงและความรู้สึกโดยผู้แต่งแนะนำว่า เป้าหมายของเรานั้นจะต้องเป็นสิ่งที่เราชอบจริง ๆ และให้เชื่อมั่นว่า เราสามารถทำสิ่งนั้นได้ เมื่อคิดเสร็จแล้วให้เขียนเป้าหมายต่าง ๆ ลงในกระดาษ การเขียนให้เขียนด้วยความรู้สึก ความมุ่งมั่น เขียนตามมโนภาพที่สร้างไว้ และติดกระดาษไว้ในที่ที่เรามองเห็นบ่อย ๆ ผู้แต่งแนะนำว่า นิสัยที่สองนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในองค์กรได้คือ การนำไปใช้ในการร่างพันธกิจและวัฒนธรรมขององค์กร เป็นต้น หลังจากที่สร้างเป้าหมายเป็นมโนภาพแล้ว ในระหว่างที่พยายามทำเป้าหมายให้เป็นจริง เราจะต้องระลึกถึงภาพนั้นทุกวัน ถ้าภาพนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นแสดงว่าเราเดินมาถูกทางแล้วและใกล้ที่จะประสบความสำเร็จเข้าไปทุกที ๆ






นิสัยที่สามคือ ทำในสิ่งที่สำคัญจริง ๆ ก่อนเสมอ (Put first things first)


งานที่สำคัญที่ต้องทำก่อนในมุมมองของผู้แต่งคือ งานที่จะนำพาเราไปสู่เป้าหมายในชีวิตและเป็นงานที่ไม่เร่งด่วน ฉะนั้น เราจึงควรรู้จักมอบหมายงานบางอย่างให้ลูกน้องทำบ้างและจะต้องมีการตามงานด้วย อย่างไรก็ตาม หากงานใดที่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเราโดยตรง เราจะต้องทำเองแต่อาจจะหาผู้ช่วยเพื่อแบ่งเบาภาระ


เล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อเรารู้แล้วว่างานชิ้นไหนควรทำก่อนหลัง ก็ให้เริ่มลงมือทำและให้พยายามสังเกตธรรมชาติในการทำงานของตนเองว่า ควรทำงานในสภาพแวดล้อมแบบใดและในช่วงเวลาไหน งานจึงจะออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด






นิสัยที่สี่คือ คิดแบบต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ (Think win-win)


การคิดแบบนี้จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างเพราะต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ทั้งคู่ การจะมีแนวคิดดังกล่าวได้จะต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้


1) มีความเชื่อว่า ยังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายที่รอเราอยู่และเราจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน


2) มีปากกับใจตรงกันและมีความซื่อสัตย์


3) ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้อื่น


4) มีความชัดเจนในการมอบหมายงานหรือการทำข้อตกลงเช่น เราคาดหวังอะไรจากอีกฝ่าย งานนั้น ๆ จะต้องทำเสร็จเมื่อไหร่ มีการประเมินผลงานอย่างไร และมีการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนในด้านใดบ้าง เป็นต้น


5) มีระบบที่สนับสนุนให้การทำงานมีความคล่องตัวและสามารถทำงานร่วมกันอยู่บนพื้นฐานของการคิดแบบต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ได้


6) เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นให้มองสถานการณ์โดยการดึงตัวเองออกมา ให้มองภาพรวม และคิดหาทางออกที่ดีที่สุดโดยให้ลืมผลประโยชน์ของตนเองเสีย






นิสัยที่ห้าคือ พยายามฟังและเข้าใจคนอื่นก่อนที่จะพูดเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจเรา (Seek first to understand and then to be understood)


การตั้งใจฟังอีกฝ่ายเพื่อทำความเข้าใจคือ การฟังเพื่อทำความเข้าใจว่า อีกฝ่ายกำลังพูดอะไร พูดไปเพื่ออะไร และอีกฝ่ายมีความรู้สึกอย่างไร ซึ่งจะแตกต่างจากการตั้งใจฟังที่คนส่วนใหญ่เป็นคือ ตั้งใจฟังเพื่อหาข้อมูลมาหักล้างในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดหรือเพื่อยัดเยียดความคิดของตนเองให้อีกฝ่ายเชื่อหรือทำตาม วิธีการฝึกเพื่อเข้าใจนัยที่อีกฝ่ายต้องการจะบอกเราคือ ในขณะที่ฟังให้เราสร้างภาพตามไปด้วย เมื่อเราฝึกเป็นผู้ฟังที่ดีและเข้าใจอีกฝ่ายแล้ว อีกฝ่ายจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น ๆ และจะเปิดใจยอมรับฟังข้อเสนอหรือสิ่งที่เราจะพูดเช่นเดียวกัน






นิสัยที่หกคือ สร้างทีม (Synergize)


การสร้างทีมในที่นี้คือ การดึงเอาจุดเด่นหรือศักยภาพของคนรอบข้างหรือผู้ร่วมทีมออกมาเพื่อช่วยให้เป้าหมายประสบความสำเร็จเช่น ถ้าลูกน้องเป็นราคะจริตจะต้องให้ทำงานทางด้านการประชาสัมพันธ์ และงานที่ไม่ต้องใช้ความคิดมากนัก หรือโทสะจริตจะต้องให้เป็นผู้คุ้มกฎ ผู้รักษาเวลา และช่วยในการวางแผนและจับประเด็น เป็นต้น ผู้แต่งได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ภาพรวมของทีมหนึ่ง ๆ จะต้องประกอบด้วย (1) นักคิด (2) ผู้สมานฉันท์ และ (3) ผู้ประสานสิบทิศ เพราะนักคิดก็คือ คนที่ช่วยกันระดมสมองในการทำงานต่าง ๆ ผู้สมานฉันท์คือ คนที่ทำให้บรรยากาศราบรื่น ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งเพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าตนเองด้อยค่า ถ้าความคิดเห็นหรือแผนงานที่เสนอไม่ได้รับการยอมรับ และผู้สมานฉันท์จะต้องแสดงให้ทุกฝ่ายเห็นว่า ทุกอย่างจะเน้นไปที่เนื้องานเป็นหลักโดยไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง ส่วนผู้ประสานสิบทิศคือ คนที่จะนำแผนงานของเราไปประสานงานและเชื่อมโยงกับหน่วยงานหรือแผนกที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป้าหมายที่เราตั้งไว้ประสบความสำเร็จ






นิสัยที่เจ็ดคือ ฟื้นฟูพลังชีวิต (Sharpen the saw)


ผู้แต่งเชื่อว่า เราคงจะประสบความสำเร็จและมีความสุขได้ยาก ถ้าเรามีสุขภาพที่เสื่อมโทรม ฉะนั้น เราจะต้องหมั่นรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายเป็นประจำ นอกจากนั้น ผู้แต่งแนะนำให้เราหมั่นทำสมาธิ ทำจิตใจให้สงบเพื่อเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด และให้หมั่นอ่านหนังสือบ้างเพื่อเสริมสร้างความรู้และเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขวาง เพื่อนำไปใช้พัฒนาชีวิตให้มีความสุขและประสบความสำเร็จ ปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งของผู้ที่ประสบความสำเร็จคือ การมีความสัมพันธืที่ดีกับคนรอบข้าง มีความเมตตา และรู้จัก “ให้” ผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอเช่น การให้ความสุข ให้ความเมตตาเห็นอกเห็นใจ ให้ความรู้ หรือให้ความช่วยเหลือทางด้านวัตถุ เป็นต้น

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เจอร์รี่..ชายผู้มีทัศนคติเชิงบวก‏

เจอร์รี่เป็นผู้จัดการของร้านอาหารแห่งหนึ่งในอเมริกา> เขามักจะอารมณ์ดีอยู่เสมอและมักจะมีมุมมองต่อเหตุการณ์ต่างในแง่ดี>> เวลาที่มีใครถามเขาว่าเขาทำอย่างนั้นได้อย่างไร>> เขามักจะตอบว่า " ถ้าผมสามารถเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ได้ ผมอยากจะมีฝาแฝด!">> พนักงานเสริ์ฟในร้านอาหารที่เขาทำงานอยู่หลายคนออกจากงาน > ไปพร้อมกับเจอร์รี่ เมื่อเขาย้ายงาน> เพื่อจะได้ติดตามเขาไปจากร้านหนึ่งไปยังอีกร้านหนึ่ง>> สาเหตุทั้งหมดก็มาจากการเป็นคนมองโลกในแง่ดีและทัศนคติของเจอร์รี่> เขาเป็นผู้ผลักดัน เป็นคนที่ให้กำลังใจผู้อื่นได้อย่างดีเยี่ยม>> ถ้ามีลูกน้องคนไหนเจอกับเรื่องแย่ๆมา เจอร์รี่จะอยู่กับเขาเสมอ> พร้อมทั้งแนะนำลูกน้องคนนั้น ให้ได้มองเห็นด้านดีๆหรือสิ่งที่เรา> สามารถเรียนรู้ได้จากเรื่องราวแย่ๆที่เกิดขึ้น>> ....วันหนึ่งฉันถามเจอร์รี่ว่า>> "ฉันไม่เข้าใจ! คนเราจะมองโลกในแง่ดีอยู่ตลอดเวลาได้ยังไง คุณทำได้ยังไงนะ">> เจอร์รี่ตอบว่า>> " ทุกๆเช้า ผมตื่นขึ้นมา พร้อมกับบอกตัวเองว่า ผมมีทางเลือกสองทางสำหรับวันนี้> ผมเลือกที่จะมีอารมณ์ดีตลอดทั้งวันก็ได้ > หรือจะมีอารมณ์เสียๆตลอดทั้งวันก็ได้เหมือนกัน> ซึ่งผมมักจะเลือกอารมณ์ดี>> บางครั้งก็มีเหตุการณ์แย่ๆเกิดขึ้น เราก็สามารถเลือกได้นี่นาว่า> เราจะเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นั้น หรือว่าเลือกที่จะเรียนรู้มัน > ผมมักเลือกที่จะเรียนรู้> ทุกครั้งที่มีบางคนมาติมาบ่นอะไร > มีทางเลือกให้เราเลือกได้ว่าจะยอมรับเสียงเหล่านั้น> หรือว่าจะมองหาด้านดีของชีวิต ผมเลือกอย่างหลัง">> "แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ" ฉันแย้ง>> " ใช่ ไม่ง่ายเลย" เจอร์รี่กล่าว>> " ชีวิตล้วนเต็มไปด้วยทางเลือก> เมื่อคุณตัดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกไปแล้ว > ทุกสถานการณ์ต่างก็มีทางเลือกของมัน> คุณเลือกได้ว่าจะตอบสนองกับเหตุการณ์นั้นอย่างไร> คุณเลือกได้ว่าจะให้ผู้ครอบข้างมีผลกับความรู้สึกของคุณได้อย่างไร> คุณเลือกที่จะมีอารมณ์ดีหรือแย่ก็ได้>> มันเป็นทางเลือกว่าคุณจะใช้ชีวิตของคุณอย่างไร">> หลายปีต่อมา ฉันได้ข่าวมาว่า เจอร์รี่ได้ทำบางอย่างที่คุณคาดไม่ถึง> ว่ามันจะเกิดขึ้นในธุรกิจการทำร้านอาหาร>> เขาลืมล็อคประตูด้านหลังของร้านในเช้าวันหนึ่ง > และถูกปล้นโดยโจรสามคนที่มีอาวุธ ระหว่างที่เจอร์รี่กำลังพยายามเปิดเซฟ > มือของเขาสั่นเนื่องจากความตื่นเต้น ทำให้เกิดพลาด>> โจรพวกนั้นยิงเขา>> โชคยังดีที่มีคนพบและนำเขาส่งโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที > หลังจากการผ่าตัดที่ยาวนานถึง 18 ชั่วโมงและการดูแลรักษา > ในโรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด> เจอร์รี่ก็ได้ออกจากโรงพยาบาล พร้อมทั้งเศษกระสุนในร่างกาย>> ฉันพบเจอร์รี่ 6 เดือนหลังจากเหตุการณ์นั้น เมื่อฉันถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง>> เขายังคงตอบว่า "ถ้าผมเป็นอะรที่ดีกว่านี้ได้ ผมจะเป็นฝาแฝด > อยากดูแผลเป็นของผมมั้ย">> ฉันตอบปฏิเสธ>> แต่กลับถามเขาถึงสิ่งที่ผ่านเข้ามาในความรู้สึกเขาหลังจากที่โจรพวกนั้นออกไป>> "อย่างแรกที่ผมคิด คือผมไม่ได้ล็อคประตูหลังของร้าน > และหลังจากที่โดนยิง และผมล้มลงบนพื้น ผมก็ยังคงจำได้ว่า > ผมมีสองทางเลือกนี่นา มีชีวิตต่อไปหรือว่าตายเสียในตอนนั้น > ผมเลือกที่จะอยู่ต่อไป">> "คุณไม่กลัวเหรอ" ฉันถาม>> เจอร์รี่เล่าต่อ> "เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์ทำหน้าที่อย่างดีมาก > พวกเขาคอยบอกว่าผมจะปลอดภัย แต่เมื่อพวกเขาเข็นผมเข้าไปในห้องฉุกเฉิน > และผมได้เห็นความกดดันบนใบหน้าของหมอและพยาบาล>> ตอนนั้นล่ะที่ผมเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ ในสายตาของพวกเขา > มันเต็มไปด้วยคำพูดที่ว่า ' เขาตายแล้ว ' ผมรู้ทันทีว่าผมต้องทำอะไร > ผมต้องแสดงปฏิกิริยาอะไรซักอย่างให้พวกเขารู้ว่าผมยังอยู่ ">> " คุณทำอย่างไร">> " อืม...มีนางพยาบาลคนนึงตะโกนถามผมว่า ผมแพ้อะไรหรือเปล่า ผมตอบว่า > มี... นางพยาบาลและหมอต่างก็หยุดทำงานรอฟังคำตอบจากผม > ผมหายใจลึกๆและตอบว่า ' กระสุน!'>> หลังจากที่พวกเขาหัวเราะ ผมบอกพวกเขาว่า ผมเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ > โปรดช่วยรักษาผมอย่างคนมีชีวิต> ไม่ใช่คนตาย">> เจอร์รี่ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกขอบคุณความสามารถของหมอ> แต่มันก็เป็นเพราะทัศนคติต่อชีวิตอันแสนจะน่าทึ่งของเขาด้วย > ฉันได้เรียนรู้จากเขาว่า> ทุกๆวันคุณมีทางเลือกของชีวิต คุณเลือกที่จะรักหรือว่าเกลียดชีวิตของคุณเองก็ได้> สิ่งเดียวที่เป็นของคุณจริงๆ และไม่มีใครสามารถนำมันไปจากคุณได้ > ก็คือความคิดและทัศนคติของคุณเอง> เพราะฉะนั้นถ้าคุณสามารถใส่ใจกับมันได้ > อย่างอื่นในชีวิตของคุณก็จะง่ายดายมากขึ้น>