This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

เข้าใจผู้หญิง

เข้าใจผู้หญิง

เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก... บางอย่างยากที่จะเอ่ยจากปากให้ชายรู้ มีคนชอบกล่าวว่า ผู้หญิงมีหลายหน้า บางเวลาอาจเป็นเทพธิดา แต่บางเวลาอาจกลายเป็นนางมารร้ายขึ้นมา โดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งพระอุมาเทวี บางเวลายังอาจกลายเป็นนางกาลีไป ก็ได้ แต่นั่น ก็เป็นเพียงแค่คำร่ำลือ หรือเรื่องราวที่พูดกันต่อๆ มาเท่านั้น ไม่ได้มีข้อมูลหรือข้อเท็จจริงใดๆมาพิสูจน์ ขณะเดียวกันก็ไม่ค่อยจะมีหลักฐานอะไรมาหักล้าง ความเชื่อเหล่านั้นเช่นกัน ตราบใดที่โลกเรายังคงดำรงอยู่ ไม่หยุดหมุน โลกเราก็ยังคงมีความรักระหว่างหนุ่มและสาว แม้ว่าจะน้อยลงทุกวัน เนื่องจากหลายคนเริ่มหันไปรักเพศเดียวกันเพราะเข้าใจกันมากกว่า แต่ความรักระหว่างผู้ชายและผู้หญิงก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป และจำต้องมีความเข้าใจในกันและกันมากขึ้น และมากขึ้น เพราะความรักที่แท้จริงก็คือ การเข้าใจและให้อภัยในความผิดพลาดของกันและกัน รวมทั้งการพยายามปรับตัวเข้าหากันด้วย การเรียนรู้ซึ่งกันและกันจึงเป็นพื้นฐาน ของการใช้ชีวิตคู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้กระทั่งในตำราพิชัยสงครามของซุนวู ยังว่าไว้ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งมาเริ่มเรียนรู้คุณผู้หญิงกันดูบ้างจะดีไหมครับ !! เริ่มจากกำจัดความเข้าใจผิดที่มีต่อกันและกันก่อน...ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง

· ผู้หญิงพอใจอะไรยาก ?

ผู้ชายมักจะชอบพูดถึงผู้หญิงในแง่นี้เสมอๆว่า เข้าใจยาก พอใจอะไรยาก ชอบเปลี่ยนใจง่าย บางคนถึงกับบอกว่า พวกเธอเปลี่ยนใจทุกวินาที วินาทีละหลายร้อยครั้ง ซึ่งน่าจะไม่เป็นจริง ที่จริงแล้ว ผู้หญิงมักจะพอใจอะไรที่ดีกว่า และอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่าเดิม ของคนที่พวกเธอรัก ไม่ว่าจะเป็นสามี หรือลูกๆ เธอจึงดูเหมือนชอบ ขี้บ่น ติโน่น ติงนี่อยู่ตลอดเวลา... โดยเฉพาะหลังจากตกลงปลงใจว่า จะใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายคนนี้ คนที่เธอรัก เคยสังเกตไหมครับว่า ก่อนแต่งงาน ก่อนใช้ชีวิตคู่ ตอนรักกันใหม่ๆนั้น เธอไม่ค่อยติติงเท่าใด ก็เพราะเธอยังไม่แน่ใจว่าจะรักหรือตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตด้วยหรือไม่ แต่พอเธอแน่ใจแล้ว มั่นใจแล้ว เธอก็จะไม่เปลี่ยนใจรัก เธอจึงอยากให้คนที่เธอรักดีขึ้น... ตอนนั้นแหละเหมือนเธอเอาใจยากขึ้น ที่จริงตอนรักกันก็เอาใจยากอยู่แล้ว !! ...เพราะเธอต้องการอะไรที่ดีกว่าที่คุณเสนอ แต่ถ้าคุณเสนอสิ่งที่ดีที่สุดแก่เธอ... เธอจะรับโดยดี โดยไม่บ่นว่า ดังนั้น ถ้าคุณผู้ชายคนไหนยังคิดว่าแฟนของคุณพอใจอะไรยาก ก็แสดงว่าสิ่งที่คุณทำให้เธอยังไม่ดีพอ หรือไม่ใช่ที่เธอต้องการเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่า เธอเอาใจยากเลย

· ผู้หญิงมักจะมีอารมณ์เพศยาก ?

จริงอยู่ ที่ผู้หญิงเกิดอารมณ์พิศวาสและไปถึงจุดสุดยอดได้ยาก และใช้เวลายาวนานกว่าผู้ชาย แต่ถ้าคุณผู้ชายเข้าใจเธอสักหน่อย คุณสามารถที่จะทำให้เธอมีอารมณ์พิศวาส และสามารถจะตอบสนองต่อคุณ เพื่อที่จะไปยังจุดหมายปลายทางที่ฝันรวมกันเอาไว้ นั่นก็คือ การให้ความรักแก่เธอให้มากๆ ให้เธอรับรู้ว่า คุณรักเธอคนเดียว ปรารถนาเธอคนเดียว และมีเธอคนเดียวเท่านั้นที่คุณอยากจะแสดงความรัก ด้วยการมีสัมพันธ์สวาทกัน นั่นเป็นสิ่งที่สามารถจุดไฟปรารถนาของเธอให้คุโชนขึ้นง่ายที่สุด ผู้หญิงต้องเกิดความรักก่อน จึงจะเกิดอารมณ์เพศ และมีไฟปรารถนาที่จะร่วมรัก ผู้ชาย เมื่อได้ร่วมรักจนสุขสมแล้ว ก็จะรู้สึกผ่อนคลายหายเครียด แต่ผู้หญิง ต้องรู้สึกผ่อนคลายหายเครียดก่อน จึงอยากจะร่วมรัก ถ้าคุณผู้ชายสามารถทำให้เธอหายเครียดด้วยความรักของคุณที่มีต่อเธออารมณ์ปรารถนาของเธอ ก็จะเกิดขึ้น และร่วมรักกับคุณอย่างเป็นธรรมชาติ จนมีความสุขสมร่วมกันครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย

· ผู้หญิงไปถึงจุดสุดยอดได้ยาก !

เป็นความจริงที่ผู้หญิงไปถึงดวงดาวได้ยาก และต้องใช้เวลานานมากกว่าผู้ชาย ทั้งนี้ก็เพราะเธอต้องการเวลาในการค่อยๆเพิ่มอารมณ์เพศสักช่วงระยะหนึ่ง ก่อนที่ร่างกายของเธอจะได้รับการกระตุ้น จนไปถึงจุดสุดยอด ผู้หญิงต้องการกระตุ้นจุดสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการกอด สัมผัสลูบไล้ไปยังส่วนต่างๆ ที่ยังไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ปราการด่านสุดท้าย ที่ผู้ชายหวังจะโจมตี จนเมื่อเธอแสดงอาการว่า อยากให้สัมผัสส่วนนี้ของเธอแล้ว คุณค่อยเริ่มกระตุ้น และการกระตุ้นส่วนสงวนของเธอนั้น ก็ต้องใช้เทคนิคเช่นกัน ถ้าคุณจะใช้มือกระตุ้นให้เคลียเคล้าบริเวณข้างๆ ปากทางก่อน ค่อยไล่ลงมายังกลีบเนื้อที่ปิดปากถ้ำสวรรค์ไว้ แล้วค่อยไปยังปุ่มปมประสาทสัมผัสที่เรียกว่าคลิตอริส... อย่านะ อย่าใช้นิ้วมือคุณกดลงไปทันที เพราะจะทำให้เธอเจ็บจนหมดอารมณ์ที่จะเริงรักกับคุณ คุณต้องค่อยๆใช้นิ้วคุณวนๆ รอบๆ ปุ่มสัมผัสดังกล่าวก่อน จนแน่ใจว่าเธอมีอารมณ์มากแล้ว จึงค่อยๆ เน้นตรงจุดอย่างเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขอย้ำนะครับว่า ผู้หญิงนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ชอบอะไรที่สม่ำเสมอ มั่นคงและต่อเนื่อง... รวมทั้งการกระตุ้นให้เธอไปถึงดวงดาวด้วย ผู้หญิง ส่วนใหญ่ไปถึงจุดสุดยอดด้วยท่า "มิชชันนารี" เพราะร่างกายของฝ่ายชาย ที่ทานทับลงไปบนตัวเธอนั้น ทำให้เวลาที่เขาขยับส่วนนั้นของเขาเข้าออกเพื่อการสัมผัสรักกับเธอ ปุ่มคลิตอรัสจะได้รับการเสียดสีกับกระดูกหัวเหน่าของเขาเป็นการกระตุ้น ขณะเดียวกัน ปุ่มดังกล่าวก็จะมีการยืดขึ้นและหดลง ตามจังหวะของการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ ที่เธอและเขาร่วมกันแสดงนั้น แล้วจะทำให้เธอไปถึงดวงดาวได้โดยง่าย

· ผู้หญิงต้องการเงินมากกว่าความรัก ?

ผู้ชายหลายราย มักจะมีความรู้สึกนึกคิดเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้ว ผู้หญิงหลายคนที่แม้ว่าร่างกายบางส่วนของเธอสามารถจะซื้อหาได้ด้วยเงินตรา แต่เธอก็ยังคงเหลือบางส่วนไว้ให้คนที่เธอรักเสมอ... สงสัยไหมครับ บทสัมภาษณ์ผู้หญิงขายบริการคนหนึ่งบ่งบอกว่า เธอยอมมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบใด แต่เธอไม่ยอมจูบปากอย่างดูดดื่มกับลูกค้าคนใดเลย เธอบอกว่า เธอเก็บจูบที่บริสุทธิ์ของเธอไว้ให้ชายคนที่เธอรักเท่านั้น คนอื่นไม่มีวัน ไม่ว่าจะให้เงินทอง เธอมากน้อยแค่ไหน หรือเธอจะพอใจมากขนาดใด เพราะลูกค้าก็คือลูกค้า ไม่ใช่ชายคนรัก เงิน จึงอาจจะซื้อความรักได้... แต่ไม่ใช่รักแท้ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากได้รักแท้จากผู้หญิง ต้องเอารักแท้ของคุณไปแลกมา จึงจะได้รักแท้จากเธอ

· ผู้หญิงชอบขี้บ่นจู้จี้จุกจิก

ผู้หญิงจู้จี้และขี้บ่นก็เพราะ คนที่อยู่รอบข้างเธอไม่ได้สนใจในรายละเอียดที่เธออยากจะให้สนใจ เช่น เวลาจะแสดงความรักกัน ถ้าเธอรู้สึกว่า ตัวเองหรือเขาไม่สะอาด เธอก็จะไม่มีอารมณ์ หรืออาจเอ่ยปากบอกให้ทำอย่างโน่นอย่างนี้ก่อน เช่น

· รอเดี๋ยวนะที่รัก ขอไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยมีอะไรกัน

· วันนี้ไม่เอา ไม่ให้ใช้ปากทำ ยังไม่ได้อาบน้ำเลย

· มีเมนส์อยู่ ทำไม่ได้นะ สกปรกจะตาย

· พรุ่งนี้ไม่ได้ หรือคืนนี้ปวดหัว

นั่นก็คงจะเป็นหนังตัวอย่าง ที่บางครั้งผู้ชายคิดว่าเธอปฏิเสธที่จะมีสัมพันธ์สวาทกัน ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้คิดเลย เพียงแต่ขอให้รอก่อน ขอให้สะอาดก่อนเท่านั้นก็พอแล้ว เข้าใจเธอเสียหน่อย รู้จักหัดทำเป็นไม่เห็นเสียบ้าง ไม่ได้ยินเสียบ้าง และหัดไม่โต้ตอบในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เสียบ้าง คุณก็จะเป็นสุภาพบุรุษที่เธออยากจะรัก และร่วมรักด้วยทั้งกายและใจ

· เคล็ดลับการอยู่กับผู้หญิง

กล่าวว่า ผู้หญิงเกิดมาเพื่อแสวงหาความรัก ความอบอุ่น ความมั่นคง และความจริงใจ จากคนที่เธอรัก เธออาจจะรักใครได้ยาก แต่เมื่อเธอแน่ใจในความรักที่เขามีต่อเธอแล้ว เธอก็จะรักเขาตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปร... เพราะนั่นเป็นธาตุแท้ของผู้หญิง แต่เธอชอบจู้จี้ขี้บ่น เอาใจยาก และชอบเปลี่ยนใจเรื่องโน้นเรื่องนี้บ่อยๆ บางครั้งตัดสินใจยาก และโลเลในเรื่องไม่เป็นเรื่อง... ยกเว้นความรักต่อชายคนที่เธอรักเท่านั้น ที่จะคงทนตลอดไป เพราะฉะนั้น ถ้าคุณผู้ชายค้นพบผู้หญิงคนที่คุณคิดจะใช้ชีวิตคู่ด้วยแล้ว และมั่นใจว่านั่นเป็นความรักแท้แล้ว ละก็

" รักเธอให้มากๆ เข้าใจเธอให้น้อยๆ " แล้วคุณก็จะมีความสุข

เข้าใจผู้ชายและผู้หญิง

เข้าใจผู้ชายและผู้หญิง

...ชายและหญิงเมื่อเกิดความรักขึ้นในดวงใจแล้ว เขาและเธอย่อมอยากจะพลีร่างกายเข้าด้วยกันด้วยความพิศวาสที่แสนจะวาบหวามรัญจวนใจและชวนให้เกิดความหลงใหลผูกพันในกันและกันไปอย่างต่อเนื่อง...

แต่บางครั้งความไม่เข้าใจกันก็ต้องเกิด และหลายต่อหลายคู่ต้องแยกทางจากกันไปด้วยความไม่เข้าใจ หรืออาจจะเรียกได้ว่า ไม่พยายามจะเข้าใจกันก็เป็นได้

หลายครั้งเมื่อมีคำถามเกิดขึ้นว่าทำไมหนอคู่ที่รักกันมากมายจี๋จ๋ากันจนหลายคนที่เห็นเกิดความอิจฉาริษยา แรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ครั้นอยู่นานไปน้ำอ้อยก็กร่อยขม แน่นอนว่า กามารมณ์นั้นเป็นพื้นฐานของชีวิตคู่ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ บทพิศวาสที่เกิดจากใจที่ตรงกัน และมีความสุขสมร่วมกันนั้นเป็นสัมผัสรักอย่างดี เป็นการบอกรักแก่กันและกันที่เรียบง่ายและไม่จำเป็นจะต้องใช้คำพูด แต่อาศัยการกอดรัดสัมผัสทางกายที่แสนจะซาบซึ้ง ถ่ายทอดความรักความเอื้ออาทรแก่กันแทน การจะมีกามารมณ์และบทพิศวาสที่สุขมสมอารมณ์หมาย จึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ที่บางครั้งอาจทำให้เบื่อหน่าย การเรียนรู้ในความต้องการของกันและกัน การช่วยเหลือเกื้อกูลสอดประสานบทพิศวาสแก่กัน การเอาใจเธอมาใส่ใจเราล้วนแล้วแต่เป็นเทคนิคและเคล็ดลับที่บอกต่อๆ กันมา ในการนำเอานาวารักที่พายร่วมกันข้ามนทีสีทันดรไปยังฝั่งฝันที่มุ่งมาดและปรารถนาจะสุขสมร่วมกัน ผู้ชายและผู้หญิงนั้นไม่เหมือนกัน และบางครั้งก็ไม่เข้าใจกันที่จริงแล้วลองถามตัวเองกันดูบ้าง หลายต่อหลายคนยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเลย แล้วจะให้คนอื่นมาเข้าใจได้อย่างไร คนเราเมื่อรักกัน และใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว ย่อมจะสามารถพูดจาสนทนาภาษารักและบอกความในใจที่ต้องการต่อกันและกันได้ ไม่น่าจะมีอะไรมาบิดบัง ควรปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของกันและกันในอันที่จะนำมาซึ่งความสุขในการมีชีวิตคู่ คนสองคนที่มาจากต่างถิ่นต่างฐาน ต่างความเชื่อ ต่างการเรียนรู้จะไม่มีทางเข้าใจกันเลย ถ้าไม่รู้จักสนทนาโอภาปราศรัยกันและที่สำคัญควรจะพูดคุยกันด้วยมธุรสวาจาและสร้างสรรค์ ไม่ควรจะต่อว่าต่อขานกัน

เอาล่ะครับ มาลองเข้าใจผู้ชายและผู้หญิง ในรูปแบบที่เป็นและเป็นอยู่ตามความจริงของธรรมชาติ กันดีกว่า…จำไว้ว่า

ผู้หญิงต้องเกิดความรักก่อนจึงจะเกิดอารมณ์และความต้องการทางเพศและในอันที่จะมีอารมณ์ปรารถนาลุกโชนนั้น เธอต้องอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลาย ไม่เครียด อารมณ์พิศวาสจึงจะเปิดรับการกระตุ้นง่ายๆ และเมื่อเกิดอารมณ์พิศวาส แล้วเธอจึงอยากจะร่วมรัก และมีความสุขไปถึงจุดสุดยอด ผู้ชายส่วนใหญ่แล้วเมื่อเกิดความตึงเครียด ฮอร์โมนเพศชายจะหลั่งออกมามากทำให้อยากกระทำอะไรที่ผ่อนคลาย การอยากจะร่วมรักกับสาวคนรักเป็นความเครียดภายในตัวเขาอย่างหนึ่งที่อยากจะระบายออกมา ในความคิดของพวกเขาแล้ว ตามสภาพจิตใจใต้สำนึกเป็นความรักไม่ใช่เป็นการระบายความใคร่ อย่างที่ผู้หญิงหลายคนเข้าใจ และเมื่อเขาได้ระบายความอึดอัดจากความรักในอกออกไปจนสุขสมแล้ว เขาถึงจะเกิดการผ่อนคลาย หายเครียด จนเกิดนึกรักผู้หญิงคนที่เขามีความสุขด้วยเพิ่มขึ้น ผู้หญิงต้องการเวลาเนิ่นนานกว่าผู้ชายในการเล้าโลมให้เกิดอารมณ์พิศวาส เปรียบผู้หญิงเหมือนเตาไฟฟ้า ซึ่งต้องเสียเวลาวอร์มอัพก่อนที่จะเกิดความร้อนออกมาในขณะที่ผู้ชายเปรียบเสมือนเตาแก๊ส ซึ่งเมื่อเปิดแก๊สจุดไฟ ก็ติดทันทีและให้ความร้อนทันควัน ขณะเดียวกันเมื่อปิดเตาแก๊สไฟก็จะดับทันที ส่วนเตาไฟฟ้ายังต้องการเวลาอีกสักระยะหนึ่งกว่าที่จะดับสนิท แต่ในระหว่างที่กำลังจะดับลงไปนั้นถ้าเปิดเตาไฟฟ้าใหม่ เตาจะร้อนเร็วขึ้นเพราะมีความร้อนหลงเหลืออยู่ พร้อมที่จะทำงานใหม่ ด้วยเหตุนี้เองที่ผู้หญิงจะมีอารมณ์พิศวาสได้ช้ากว่าผู้ชาย และต้องการการเล้าโลมที่เนิ่นนานกว่า แต่เธอสามารถที่จะไปถึงดวงดาว ได้หลายครั้งในการร่วมรักครั้งหนึ่ง ถ้าคู่ของเธอมีน้ำอดน้ำทนเพียงพอ ส่วนผู้ชายนั้นหลังจากสุขสมอารมณ์หมายแล้ว ก็ต้องการเวลาในการพักฟื้นสักระยะหนึ่งก่อน ผู้หญิงอยากจะมีบทรักช่วงเล้าโลมและช่วงเวลาหลังความสุขสมมากกว่า ในขณะที่ผู้ชายจ้องแต่ช่วงที่มีการร่วมรักและมีบทพิศวาสในดินแดนส่วนสงวนของเธอเท่านั้นเป็นส่วนใหญ่ ผู้หญิงเป็นพวกอนุรักษ์นิยมและเมื่อเธอมีความสุขในรูปแบบใดแล้วเธอก็อยากจะให้ทำแต่รูปแบบเดิมๆ ซึ่งน่าเบื่อในความคิดของผู้ชายที่ชอบแสวงหาเทคนิคใหม่ๆ ดังนั้นควรจะมีการปรับปรุงท่วงท่าลีลารักและลีลาพิศวาสเป็นประจำสม่ำเสมอจะได้ไม่น่าเบื่อจนกลายเป็น…ทำการบ้าน ลองนึกดูสิครับว่า เริ่มต้นก็เป็นแบบนั้นและลงท้ายแบบนี้จะทนทำอยู่ได้นานเท่าใด สิ่งที่ฝังหัวอยู่ในผู้ชายเสมอมาในทุกยุคทุกสมัยก็คืออยากให้ผู้หญิงเป็นของเขาเป็นคนแรก ในขณะที่ผู้หญิงอยากให้เขาเป็นของเธอเป็นคนสุดท้าย

ในการร่วมรักกันนั้น สิ่งที่ผู้หญิงต้องการคือ "คุณภาพ" สิ่งที่ผู้ชายต้องการคือ "ปริมาณ" ผู้ชาย สนใจใน "ขนาด" ของตนเองว่าจะมีขนาใดหญ่เพียงพอหรือไม่จะให้ความสุขกับผู้หญิงของเขาด้วยความ "ใหญ่" ของเขาได้หรือไม่ ผู้หญิงไม่ได้ต้องการความ "ใหญ่" แต่ต้องการ "ความรัก" มากกว่า นักเพศศาสตร์ทั้งหลายบอกเสมอๆ ว่า ขนาดนั้นไม่สำคัญเท่าเทคนิคของการร่วมรักเลย และมักจะมีคำพูดที่กล่าวกันต่อๆ มาเสมอว่า…ขนาดของเรือนั้นมันไม่สำคัญหรอก สำคัญตรงที่ว่ากัปตันจะสามารถนำเรือรักเรือสำราญของเขาผ่านพ้นปากอ่าวเจ้าพระยาไปโดยไม่ล่มปากอ่าวเสียก่อนเท่านั้นแหละ เพราะปัญหาใหญ่ของชายชาตรีก็คือ หลั่งเร็วหรือนกกระจอกไม่ทันกินน้ำ เวลาที่เริ่มปฏิบัติการ พอเริ่มลงมือ ผู้ชายก็คิดถึงจุดหมายปลายทางคือ จุดสุดยอดแล้ว ในขณะที่ผู้หญิงคิดถึงว่า ทำอย่างไรหนอความสุขสมจะยืนยาว ชั้นสวรรค์จึงสั้นนักสำหรับเขาและเธอทั้งสอง และเขาก็ไม่สามารถจูงเธอขึ้นสวรรค์ ได้สักทีด้วยอวัยวะส่วนนั้นของเขา

สิทธิทางเพศศึกษาจึงบอกว่า ทั้งชายและหญิงมีสิทธิที่จะสุขสมด้วยตนเองเมื่อเกิดอารมณ์ที่ปรารถนาทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นโสด แต่งงานแล้วหรือเป็นม่ายก็ตาม การไปถึงจุดสุดยอดด้วยตนเองจึงเป็นสิทธิทางเพศชั้นพื้นฐาน ของมนุษยชาติด้วยประการฉะนี้

ผู้หญิงหลายคนเมื่อเข้าสู่วัยทองแทนที่จะหมดอารมณ์ทางเพศกลับมีความต้องการทางเพศมากขึ้นจนกลัวใจ ขอบอกว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นไปได้ และถ้าหนุ่มวัยทองของเธอมีความต้องการตรงกันทุกอย่างก็จะราบรื่นและสุขสม แต่ถ้าหนุ่มวัยทองข้างกายเป็นประเภทหมดสมรรถภาพทางเพศหรือหมดอารมณ์พิศวาสไปแล้วล่ะก็ ทางออกที่ดีที่สุดคือการสุขสมด้วยตนเองรวมทั้งจินตนาการถึงความหลังที่ซาบซึ้งในอดีต ก็จะทำให้สามารถผ่านวันเวลาไปได้โดยไม่ลำบาก ผู้ชายวัยทองนั้น อวัยวะส่วนนั้นจะไม่ทำงาน แม้ว่าจะมีอารมณ์และความต้องการทางเพศ จำต้องได้รับการกระตุ้นโดยตรงต่ออวัยวะแห่งความเป็นชาย ไม่ว่าจะกระตุ้นด้วยมือหรือทำรักด้วยปาก และคุณผู้หญิงคู่ชีวิตทั้งหลายจำไว้ว่าถ้าเขามีอารมณ์แต่อวัยวะไม่ขยายพอจะปฏิบัติการได้แล้ว การใช้มือช่วยกระตุ้นให้เขาขึ้นสวรรค์ ก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะทำให้เขาสมหวัง

การให้อภัย

การให้อภัย

ผมได้รับเชิญให้ไปออกที.วี. โดยให้พูดถึงเรื่องการให้อภัยเพื่อนมนุษย์ เพราะจะทำให้มนุษย์มีเสน่ห์มากขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้

ความจริงเรื่องการให้อภัยนั้นมีคนพูดถึงกันมาก และก็รู้ว่าเป็นสิ่งดีที่ควรจะให้อภัยคนอื่นให้ได้ แต่คนที่พูดว่าให้อภัยแล้วปากพูดไปแต่ใจไม่ยอมให้อภัยยังมีอีกมากรวมถึงคนที่บอกว่า ไม่สามารถให้อภัยได้เพราะยังแค้นอยู่ก็มีมาก

การให้อภัยจึงไม่ใช่ของง่ายๆ เลย ทำยากกว่าการให้สิ่งของ ให้เงิน หรือให้กำลังใจคนอื่นเสียอีก ถ้าใครรู้จักการให้อภัยได้ ถือว่าเป็นการทำงานชิ้นเยี่ยมของชีวิตได้ และทำให้มีความสุขมากขึ้น

คนพร้อมจะโกรธและไม่ให้อภัย

มีผู้ทุกข์มาปรึกษาที่คลินิกเป็นจำนวนมากด้วย ความโกรธแค้นผู้อื่น และไม่สามารถอภัยได้ ทำให้เกิดเป็นความทุกข์เรื้อรังบางคนถึงขั้นมี อาการทางฝ่ายกายร่วมด้วยหลายๆ อย่าง และที่แน่ๆ ก็คือบุคคลเหล่านี้อารมณ์ไม่ดีบ่อยๆ มักจะโกรธ และผิดหวังได้ง่ายๆ

ตัวอย่างเช่น :

มีผู้หญิงคนหนึ่งโกรธสามีมากที่สามีทำดีเฉพาะกับญาติพี่น้องของเขา แต่กับภรรยาจะเข้มงวด ขี้เหนียวและเอาเปรียบ ภรรยาไม่ยอมให้อภัย เธอพยายามขอหย่า สามีไม่ยอม ภรรยาก็หาทางแก้แค้นตลอดมา ไม่ยอมยกโทษให้

อีกรายหนึ่งเป็นกรณีสามีแค้นภรรยาที่มาทราบหลังจากแต่งงานได้ไม่นานว่า ภรรยาเคยมีแฟนมาก่อน และเคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับแฟนเก่า สามีแค้นมาก ไม่ยอมให้อภัย ไม่มีอารมณ์ทางเพศด้วย แต่ยังไม่ยอมหย่า

อีกรายหนึ่งเป็นกรณีลูกชายวัยหนุ่มแค้นพ่อที่เข้มงวดกับเขาตั้งแต่เขายังเด็ก พ่อรักลูกไม่เท่ากัน ลำเอียง ขณะนี้เขาเรียนจบแล้วมีการงานทำดี แต่ยังโกรธแค้นพ่อไม่หายขนาดลั่นวาจาต่อหน้าพ่อ ว่าถ้าตายก็ไม่ต้องเผาผีกัน

มนุษย์พร้อมจะโกรธคนอื่นได้ง่ายเพราะเขาสนใจและรักตัวเองมากไป มักจะจับผิดคนอื่น หรือโยนความผิดไปให้คนอื่น หรือตั้งมาตรฐานตัวเองสูงมากจนมองคนอื่นทำผิดได้ง่าย เพราะไม่เข้ามาตรฐานที่เขาตั้งเอาไว้หรือผิดหวังเพราะคิดว่ามนุษย์ทุกคนจะต้องมีความดีพร้อม ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ และมนุษย์ก็ไม่พร้อมจะให้อภัย หรืออยากล้างแค้นให้สมใจเสียก่อน หรือเกิดความระแวงว่าจะเกิดความเจ็บปวดขึ้นอีก

หลายๆ คนคอยเตือนความทรงจำเกี่ยวกับความโกรธแค้นด้วยการคิดถึงบ่อยๆ หรือจดบันทึกเหตุการณ์ที่โกรธเอาไว้ ยิ่งทำให้ไม่สามารถลืมได้ แถมจะยิ่งโกรธแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถอภัยได้เลยจนตาย

คนที่ไม่อภัยคือคนแพ้

ถ้าเราโกรธใครเพราะคิดว่าเขาทำผิดต่อเรา และเราไม่ให้อภัยเขานั่นก็เหมือนกับเราคือผู้แพ้ เขาคือผู้ชนะ เพราะเราจะให้เวลาและความสำคัญกับเขาบ่อยๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ทำอะไรก็ไม่ได้ ตัวเราเองจะทุกข์มากขึ้น ส่วนเขาจะทุกข์หรือไม่ เราไม่รู้ ตกลงเราคือผู้แพ้ เขาคือผู้ชนะ

แต่ถ้าหากเราให้อภัยได้ เราไม่แคร์ว่าเขาจะทำอย่างไรกับเรา เรื่องมันผ่านไปแล้วเป็นเรื่องของอดีต เราก็จะกลายเป็นผู้ชนะทันที ถ้าเขาทำผิดกฎหมายก็ให้ต่อสู้ในแง่กฎหมาย

ถ้าเขาผิดโดยเราต่อสู้ไม่ได้และเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ก็ต้องคิดว่าเป็นเรื่องของวิบากกรรม ที่เราอาจจะเคยทำสิ่งที่ไม่ดีกับเขาเอาไว้ก่อนในอดีต ผลกรรมจึงตามมาทำให้เราทุกข์เราต้องถ่อมตัว ถ่อมใจ ยอมรับความทุกข์นั้น และทำดีให้มากขึ้นโดยหวังว่าผลของการทำดีนั้นจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น พ้นจากวิบากกรรมนั้นได้เร็วๆ ส่วนเขาที่ทำความผิดกับเรา ทำให้เราเดือดร้อน เจ็บปวด เขาก็จะได้รับผลของการกระทำนั้นเองในอนาคต

ต้องเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมเอาไว้บ้าง จะได้มีแนวคิดที่สร้างสรรค์ได้ ไม่จนมุม ถ้าไม่เชื่ออย่างนี้ก็จะเกิดการยกตัวโดยคิดว่าตัวเองถูกต้อง คนอื่นผิด และโทษคนอื่นตลอดเวลา จะยิ่งทุกข์มากขึ้น

คนที่ไม่ให้อภัยนั้นจะมีความทุกข์เสมือนมีบาดแผลในใจหรือมีหนามชีวิตที่คอยทิ่มแทงจิตใจตัวเอง ให้เจ็บปวดตลอดเวลาที่นึกถึงเป็นเรื่องทรมานมาก เวลาคิดขึ้นมาจะมีความเครียด รู้สึกเจ็บปวด มีการหลั่งสารคลายความเครียดคือ Adrenaline และ Cortizonine (ไม่แน่ใจต้นฉบับขาดตรงคำนี้น่ะค่ะ) ในสมองแต่ถ้าให้อภัยแล้วจิตใจสบาย พร้อมจะรักตัวเองเป็นและรักคนอื่นได้ มีความคิดสร้างสรรค์ได้ จะมีการหลั่งสารของความสุข Endophine ในสมองได้

เทคนิคการให้อภัยผู้อื่น

การให้อภัยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักต้องตั้งใจทำ และต้องรู้ประโยชน์ของการให้อภัยรู้จักโทษ ของการไม่ให้อภัยให้ดีด้วย และลองๆ ทำตามคำแนะนำดังนี้ครับ

1. จงสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองให้มากขึ้นโดยให้มีความพร้อมจะให้อภัยคนได้ง่ายขึ้น และโกรธคนได้น้อยลง เพราะรู้แล้วว่าถ้าโกรธแค้นแล้วไม่ดีอย่างไร และรู้ว่าการให้อภัยเป็นสิ่งที่ยาก แต่มีผลดีมาก เราจะสร้างภูมิคุ้มกันได้โดยขอให้ถ่อมตน อธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือทุกคืนว่า ขอให้คุณได้รับพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เพื่อทำให้คุณ

· สามารถรักคนอื่นได้มากขึ้น

· สามารถให้คนอื่นได้มากขึ้น

· สามารถให้อภัยคนอื่นได้มากขึ้น และขอให้คุณ

· ได้รับความรักจากคนอื่นมากขึ้น

· ได้รับการให้จากคนอื่นมากขึ้น

· ได้รับการให้อภัยจากคนอื่นมากขึ้น

จะทำให้คุณมีความพร้อมจะให้อภัยคนอื่นได้มากขึ้นและง่ายกว่า และเป็นการเตรียมตัวถ่อมตัว รับเอาพลังจากสิ่งที่อยู่เหนือกว่าคุณที่คุณนับถือ มาไว้ในใจของคุณเพื่อให้คุณมีพลัง จะทำในสิ่งที่ยากนี้ได้ดีขึ้น

2. ใช้สติ ปัญญา ให้มากขึ้น โดยให้คิดว่า คนที่ทำให้เราโกรธนั้นเขาอาจจะมีข้อบกพร่องในตัว ซึ่งเป็นความปรกติของบุคคลทั่วไป ที่เกิดมามีความบกพร่องในตัวทุกคน และมีความไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน จะทำให้เรามองความผิด และความบกพร่องของเขาเป็นเรื่องปรกติ รวมทั้งตัวเราก็สามารถทำความผิดหรือมีความบกพร่องได้ด้วย

คนที่มีความบกพร่องนั้นจะได้รับความทุกข์จากความบกพร่องของเขา เช่น คนที่ปากพล่อยชอบด่าว่า ก้าวร้าวต่อคนอื่น เขาก็จะมีศัตรูมาก เมื่อเขาโกรธง่ายก็ทำให้เป็นโรคหัวใจ หรือความดันโลหิตสูง หรือมีภูมิต้านทานต่ำได้ง่าย

เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ถ้าหากเขารังแกเรา ทำให้เราทุกข์ ก็ให้คิดว่าเป็นเรื่องของวิบากกรรม ตามมาถึงเราให้ถ่อมใจรับเสียและทำความดีมากขึ้น (ในกรณีที่ต่อสู้ด้วยกฎหมายไม่ได้ แต่ถ้าหากต่อสู้ด้วยกฎหมายได้ก็ให้ดำเนิน ตามกฎหมายไป ถ้าสู้แล้วแพ้ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องของวิบากกรรมดังกล่าวแล้ว ให้ถ่อมตัวยอมรับและรีบทำความดีให้มากขึ้น

ถ้าไม่อยากต่อสู้ทางด้านกฎหมายและความแค้นยังคาใจอยู่ ก็ให้นึกถึงผลของความแค้นของเรา ที่ทำให้สารของความเครียดหลั่งออกมา เกิดความไม่เป็นสุขและเป็นโรคทางกายตามมาได้มาก เพราะใจของเราจะใฝ่คิดถึงแต่ความทุกข์เสมอๆ

ถ้ายังแค้นอยู่และไม่ให้อภัยเท่ากับเราเป็นผู้แพ้ เพราะยิ่งคิดยิ่งแค้นและทำอะไรไม่ได้ ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ตลอดเวลา แต่ถ้าเราแค้นและให้อภัยได้ เราคือผู้ชนะ เพราะเราไม่แคร์ว่า เขาทำอะไรให้เราในอดีตแล้ว เราคิดเป็นแล้ว เราทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่และลำบากคือการให้อภัยได้แล้ว

ผลของการทำความผิดของเขาที่ทำต่อเรานั้น ให้เป็นเรื่องการตัดสินและลงโทษ ตามกติกาของกฎแห่งกรรมเถิด

3. ให้ถ่อมตัวให้มากขึ้นอีก สติปัญญา และวิจารณญาณจะเกิดขึ้นได้มากขึ้นอีกโดยคิดได้ว่าเราตั้งมาตรฐานตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า ระแวงมากไปไหม คิดมากไปไหม จับผิดเขามากไปไหม ทำให้คิดว่าเขาทำผิดต่อเรา และย้ำคิดซ้ำๆ มากไปจนเกิดความทุกข์จากความโกรธแค้นมากไปหรือเปล่า

เกิดความเข้าใจสภาพปรกติของมนุษย์ว่าต้องมีความผิดความบกพร่องและสามารถยอมรับ ความบกพร่องของคนอื่นได้เห็นใจในความผิดบกพร่องของงเขาได้อยากช่วยเหลือเขา และจะอภัยได้ง่ายขึ้นเพราะรู้ว่าเขาก็ทุกข์จากข้อบกพร่องของเขา เขาไม่ได้มีความสุข จากการทำผิดต่อเราอย่างที่เราคิดหรอก

ทุกอย่างที่เราคิดโกรธแค้นแล้วเกิดความทุกข์นั้น ไม่ใช่ทุกข์ถาวรหรอก ทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไป ตามกฎของปรมัตถ์สัจจะที่มีความเป็นอนิจจังทั้งนั้น อย่าไปคิดยึดติดว่าเราจะต้องทุกข์มากๆ ตลอดไป จงหาทางคลายทุกข์ให้ผ่านไปเร็วๆด้วยการให้อภัยไม่ดีกว่าหรือ (ถ้าคิดอย่างนี้ถือว่ามีวิจารณญาณ หรือ Insight ได้แล้ว)

4. ให้ออกกำลังกายแบบเคลื่อนไหวและไม่แข่งขัน (Aerobic Exercise) เช่นการวิ่งจ๊อกกิ้ง เพื่อให้สารความสุขหลั่งออกมาและให้นึกถึงภาพตัวเองมีความสุขจากการให้อภัยคนอื่น และให้นึกถึงภาพตัวเองมีความทุกข์จากการไม่ให้คนอื่น จะทำให้อยากให้อภัยได้ง่ายขึ้น

5. ชื่นชมตัวเองให้มากๆเมื่อคิดได้ดังกล่าว หรือเริ่มลงมือทำอะไรเพื่อการให้อภัยดังกล่าวแล้ว จะเกิดกำลังใจได้มากขึ้น

ผู้ให้อภัยคือผู้ชนะ

เมื่ออภัยได้แล้วจะเกิดปรากฏการณ์ดังนี้

1. คุณคือผู้ชนะ เพราะคุณไม่แคร์เขาแล้ว

2. คุณไม่ผูกมัดตัวเองกับหนามชีวิต หรือบาดแผลหัวใจต่อไปแล้ว เลิกเจ็บปวดกับมันเสียที

3. สารความสุข Endophine ก็จะหลั่งในสมองมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น

4. ชื่นชมตัวเองได้มากขึ้น ว่าสามารถทำสิ่งที่ยากแต่สร้างสรรค์ได้แล้ว หัวใจคุณจะเปิดรับการรักตัวเองเป็นรักคนอื่นได้ เสน่ห์จะเกิดตรงที่คุณรู้จัก รักคนอื่นได้มากนี่แหละครับ

มนุษย์จะรักคนที่รักมนุษย์เป็นเพราะอยู่ด้วยแล้วจะรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยเป็นมิตร การให้อภัยนี้ถือเป็นงานชิ้นเยี่ยมของชีวิตเชียวน่ะครับ เพราะทำได้ยาก ลดความทุกข์ได้มาก เกิดความสร้างสรรค์มากและเป็นการยกระดับจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ให้สูงขึ้นมากมาย

การสร้างมิตรไมตรีกับผู้อื่น

การสร้างมิตรไมตรีกับผู้อื่น

คนเราทุกคนไม่มีใครสามารถจะอยู่ในโลก ในสังคม ได้โดยลำพังคนเดียวได้ การจะประกอบกิจการใดๆ จำเป็นที่จะต้องมีผู้ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือสนับสนุนจากคนรอบข้าง ตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้นการสร้างมิตรไมตรีกับคนรอบข้าง จึงเป็นแนวทางที่จะนำความสำเร็จและประโยชน์มาสู่ชีวิตของท่าน มากกว่าจะเป็นการสูญเปล่า การมีคนรัก คนชื่นชม และให้ความรักใคร่ ช่วยเหลืออย่างจริงใจ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จำเป็นต้องอาศัยความจริงใจ และซื่อสัตย์ต่อมิตรภาพของท่านกับคนอื่น การสร้างมิตรไมตรีกับผู้อื่นนั้น ท่านไม่ต้องใช้เงินใช้ทองแต่อย่างใด ไม่ต้องสูญเสียเวลามากมายเลย เพียงแต่ท่านให้ความจริงใจกับคนรอบข้างเท่านั้น สิ่งที่ท่านจะได้รับกลับคืนนั้น มากมายมหาศาลเลยค่ะ

การจะได้ใจจากใครนั้นมีหลักว่า ท่านก็ต้องมอบใจของท่านให้เขาเช่นกัน เป็นเรื่องตรงไปตรงมา ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญแต่อย่างใด ที่จะได้น้ำใจจากคนรอบข้าง ถ้าท่านได้นำข้อแนะนำนี้ไปปฏิบัติค่ะ

มีสุขภาพดีและรักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ การจะให้ใครๆ ชื่นชมและนิยมยกย่องสิ่งสำคัญ คือ การรู้จักรักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ เพราะเป็นการบอกกับคนทั่วไปว่า ท่านมีความรักและเอาใจใส่ตัวเองเป็นอย่างดีด้วย อีกทั้งการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงยังเป็นการทำให้บุคลิกของท่านดูดี มีความสดชื่นแจ่มใสมองแล้วชื่นตาชื่นใจ

มีความเสมอต้นเสมอปลายกับมิตร คนเราทุกคน ชอบที่จะคบหาคนที่มีความจริงใจและเปิดเผย เคยปฏิบัติตัวเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น มีน้ำใจไมตรี โอบอ้อมอารี เคยเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ยิ้มแย้มแจ่มใส และเป็นมิตร ไม่ใช่จะพูดและให้ความยกย่องชื่นชมในยามที่ตนเดือดร้อน หรือต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น แต่พอหมดธุระ หรือไม่ต้องการความช่วยเหลือ เดินสวนกันก็แสดงความเฉยเมยไม่พูดไม่จา หรือเวลาอารมณ์ไม่ดีเจอหน้าก็ไม่ยิ้มแย้ม ไม่ทักทาย แต่พออารมณ์ดีก็จะหวานมาแต่ไกล อย่างนี้ใครๆ เขาก็จะเห็นว่า ท่านเป็นคนไม่สม่ำเสมอ เป็นคนลักปิดลักเปิด และไม่แน่ใจว่า ท่านจะมาอารมณ์ไหน เห็นว่าท่านไม่จริงใจ อย่างนี้ไม่มีทางที่ท่าน จะเอาชนะใจใครได้เลยค่ะ

เป็นคนที่มีความเอาใจใส่คนข้างเคียง รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้ว่าทำอย่างนี้เพื่อนไม่ชอบ หรือรู้ว่าสิ่งใดจะเป็นสิ่งที่ทำให้เพื่อนหงุดหงิดรำคาญใจก็ไม่ทำ หรือดูว่าเพื่อนมีความทุกข์กายทุกข์ใจอย่างไร บางครั้งก็จำเป็นที่จะต้องรับฟังเรื่องราวความเป็นไปในชีวิตของคนข้างเคียงบ้าง ว่าเขามีทุกข์มีสุขอย่างไร การเป็นผู้ที่ช่วยรับฟังคนข้างเคียง ในยามที่เขามีความทุกข์ นับว่าเป็นการช่วยเหลือทางใจได้มากทีเดียว หรือในยามที่เขามีความสุข ในยามที่เขาได้ดีก็พลอยยินดีไปกับเขาด้วย ไม่อิจฉาริษยา ทำเช่นนี้จะทำให้ท่านได้ใจของคนข้างเคียงมาครอง ได้อย่างแน่นอนค่ะ

เป็นคนตรงต่อเวลา คุณสมบัติข้อนี้ ยังเป็นข้อด้อยของคนไทย เพราะคนไทยเราไม่ค่อยจะมีวินัยในตนเอง และไม่ตรงต่อเวลา การฝึกเป็นคนตรงต่อเวลา จะทำให้คนรอบข้างชื่นชมในตัวท่าน เพราะท่านไม่ทำให้ใครๆ เสียเวลาเพราะท่าน การนัดหมายในเรื่องสำคัญๆ ทั้งในเรื่องการงานและเรื่องส่วนตัวท่านก็ไม่เคยล่าช้า เหล่านี้จะทำให้ท่านได้รับความยอมรับนับถือ และชื่นชม ในการเป็นคนตรงต่อเวลาของท่านค่ะ

หาความรู้ใส่ตัวอย่างสม่ำเสมอ การเป็นคนที่รอบรู้มีความรู้ในเรื่องต่างๆ รอบตัวไม่ใช่รู้เฉพาะในเรื่องที่ตนศึกษาเล่าเรียน หรือเฉพาะในงานของตนเท่านั้น การเป็นคนรู้กว้างและลึกซึ้ง จะทำให้คนรอบข้างของท่านรู้สึกทึ่งและชื่นชม และใครๆ ก็อยากที่จะมาปรึกษาหารือด้วยเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ เมื่อท่านต้องการความช่วยเหลือคนรอบข้างก็พร้อมจะให้ความช่วยเหลือท่าน อย่างเต็มใจค่ะ

เป็นผู้มองโลกในแง่ดี มองเห็นความสดใส สดชื่นในการมองโลก การจะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุขตามสมควร ควรจะต้องมีมุมมองในการมองโลกหลายแง่ มีมุมมองที่ขบขันบ้าง โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในวัยที่เริ่มเข้าสู่วัยกลาง รู้จักผ่อนคลาย ยิ้มบ้างกับบางเรื่อง หัวเราะบ้างเมื่อเกิดอุปสรรคหรือติดขัด แม้จะมีความไม่สมหวังบ้าง ก็ไม่จำเป็นจะต้องทุกข์ทรมาน หรือเอาจริงเอาจังจนเกินไป การเป็นผู้มีอารมณ์ขัน จะทำให้ผู้ใกล้ชิดเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และต้องการที่จะอยู่ใกล้ชิดกับท่าน

เป็นผู้มีความหวังในชีวิตเสมอ การเป็นผู้มีความหวังในชีวิต ใครๆ จะมองว่าคุณเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้และไม่ท้อถอยในการดำเนินชีวิต เป็นคนที่มีความกระตือรือร้น มองโลกอย่างผู้ชนะ และเป็นผู้ที่ให้โอกาสกับตนเอง ให้พบกับความสำเร็จในชีวิต

ปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ การที่ใครจะหันมาปรับปรุงตนเองได้นั้น ต้องมาจากการที่มีใจเที่ยงตรงยุติธรรม ไม่อคติเข้าข้างตนเอง เมื่อสำรวจตนเองแล้วพบว่าตนเองมีข้อบกพร่อง ก็ปรับปรุงตนเองในเรื่องที่บกพร่องนั้น หรือการปรับปรุงตนเอง จากการที่ได้ฟังคำแนะนำตักเตือนจากคนรอบข้าง จะทำให้คุณได้รับความรักและความชื่นชมจากคนรอบข้างมากยิ่งขึ้นค่ะ

เป็นอย่างไรค่ะ ลองปฏิบัติดูนะคะ แล้วคุณจะพบว่าคุณได้รับ ความเอื้อเฟื้อและความจริงใจรอบข้างมากขึ้นค่ะ

การวางแผนเลือกคู่ชีวิต

การวางแผนเลือกคู่ชีวิต

กล่าวกันว่า ผู้หญิงนั้น เกิดมาภายใต้การควบคุมและบงการของฮอร์โมนเพศหญิงที่เรียกว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งนับถือกันโดยทั่วไปว่า เป็นฮอร์โมนแห่งความรัก เป็นฮอร์โมนที่บงการให้ผู้หญิงเกิดมาเพื่อความรัก... ความผูกพัน

ผู้หญิง จึงมีจิตใต้สำนึกที่จะแสวงหาความรักเสมอๆ เกิดมาเพื่อที่จะค้นหาว่า มีใครรักเธอจริงบ้างไหม และเมื่อเธอค้นพบแล้ว เธอก็จะพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้เขาเป็นของเธอคนเดียวตลอดไป

ใครเคยฟังเพลงผู้หญิงในห้วงของความรัก หรือ WOMAN IN LOVE คงจะซาบซึ้งดี เพราะบทเพลงดังกล่าวมีเนื้อร้องท่อนหนึ่งบอกว่า ...ฉันจะทำทุกอย่าง เพื่อที่จะทำให้เธออยู่ในอ้อมแขนของฉันตลอดไป ยิ่งเด็กสาววัยรุ่นแล้ว เป็นวัยที่กำลังจะแตกสาวและอยากมีคนรักใจจะขาด หลายต่อหลายคน พยายามหาหมอดูว่า จะพบเนื้อคู่เมื่อไร หลายต่อหลายคนเสี่ยงเซียมซีว่า จะพบเนื้อคู่ที่ไหน และหลายต่อหลายคนผิดหวังจนต้องร้องไห้ เมื่อมีใครก็ไม่รู้ทำนายว่า จะต้องอยู่เป็นโสด หรือชายคนรักจะทอดทิ้งไป

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นครั้งที่เท่าไรก็นับไม่ได้ แต่ที่ต้องทำคือ ไปเยี่ยมเยือนเมืองเกียวโตที่เป็นเมืองหลวงเก่า ซึ่งเป็นเมืองที่ผู้คนจากทั่วโลกเดินทางไปเยี่ยมชมโบราณสถาน และวัฒนธรรมเก่าแก่ที่หลงเหลือให้ดู และหลายต่อหลายแห่งได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกที่ล้ำค่า

แน่นอนว่า การไปเที่ยมชมเมืองเกียวโตจะต้องไปเที่ยวชมวัด... และวัดหนึ่งที่คนนิยมไปเยี่ยมชมก็เห็นจะหนีไม่พ้น วัดคิโยมิซุ หรือที่คนไทยส่วนใหญ่ชอบเรียกว่า วัดน้ำใส เพราะวัดนี้จะมีบริเวณหนึ่งที่มีสายน้ำสามสาย ไหลผ่านหลังคาลงมายังบ่อเบื้องล่าง

กล่าวกันว่า การดื่มน้ำแต่ละสายนั้น สายหนึ่งจะทำให้เรืองปัญญา สายหนึ่งจะทำให้ร่ำรวยเงินทองยศวาสนา และสายสุดท้ายทำให้มีสุขภาพแข็งแรง ตามคำบอกเล่ามาแต่โบราณ บางตำราก็ว่า ให้ดื่มได้แค่สายเดียว บางตำราก็บอกว่าดื่มได้สองสาย แต่ทุกตำราเห็นพ้องตรงกันว่า ห้ามดื่มทั้งสามสายอย่างเด็ดขาด เพราะนอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังอาจจะเกิดผลร้ายด้วย เด็กก็มักจะดื่มสายน้ำที่ทำให้เกิดปัญญา หนุ่มสาวก็มักจะดื่มสายน้ำที่ทำให้ร่ำรวยมีอำนาจวาสนา ในขณะที่ผู้สูงวัยก็จะดื่มสายน้ำที่ทำให้สุขภาพดี และมีชีวิตที่ยืนยาว เคล็ดลับของสายน้ำสามสาย จึงเหมือนเทพเจ้าฮกลกซิ่วตามตำราจีน!! แต่ก่อนจะถึงบริเวณดื่มน้ำดังกล่าว จะมีพระพุทธรูปหน้าดำองค์หนึ่ง ซึ่งกล่าวกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะสามารถที่จะอธิษฐานขอเนื้อคู่ได้ดังที่หวังและตั้งใจ และใครที่มีคู่แล้วก็สามารถขอให้มีชีวิตคู่ที่ยืนยาวได้ แต่ไม่มีตำราบอกว่า ถ้ามีคู่แล้วจะขอมีคู่เพิ่มใหม่ จะได้ไหม... และในลานกว้างหน้าพระพุทธรูปดังกล่าว จะมีการเดินอธิษฐานแบบหนึ่ง คือ หลับตาเดินบนก้อนหินถ้าเดินตรงไปได้โดยไม่ตกและแตะเสาหินที่ปลายทางได้ ที่อธิษฐานเกี่ยวกับความรักไว้จะสมหวัง เด็กผู้หญิงหลายต่อหลายคนเดินไปไม่ถึงจุดหมายตกลงกลางทางก่อน เด็กผู้หญิงอีกหลายคนสามารถเดินผ่านไปจนถึงปลายทาง แต่แตะเสาไม่ถูก หลายต่อหลายคนร้องไห้ ด้วยความผิดหวัง... โดยลืมไปว่าที่จริงแล้วการอธิษฐานดังกล่าวนั้น เป็นปัญหาธรรมที่จะต้องครุ่นคิดให้เข้าใจกระจ่างว่า คนเรานั้น เมื่อมีความรักแล้ว บางครั้งถ้ารักแบบผิดๆ ก็จะทำให้เหมือนเป็นคนตาบอด เดินไม่ถูกทาง และเดินไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง

แค่ลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วเดินไปก็สามารถเดินไปตรงทาง และเดินไปถึงจุดหมายปลายทางได้แล้ว แต่ทำไมเด็กสาวๆ เหล่านั้นไม่เข้าใจ... คำตอบก็เพราะยังเด็กอยู่ และอาจจะยึดติดกับวัตถุนิยมจนเกินไป ปริศนาธรรมง่ายๆ เท่านี้... จึงไม่เข้าใจ แล้วคุณผู้อ่านเล่า... เข้าใจหรือยัง!!! เพราะถ้าเข้าใจแล้ว... การแสวงหาคู่ชีวิตที่ร่วมเรียงเคียงหมอนก็ง่ายขึ้น

การจะแสวงหาใครสักคนมาเป็นคู่ครอง คู่คิด และคู่ชีวิตนั้น เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่จะต้องสู้ และมีการเตรียมตัวเตรียมใจที่จะมีชีวิตคู่ด้วยความรัก

การเตรียมตัวมีคู่ จึงเป็นส่วนหนึ่งของความรัก กับชีวิตคู่เสมอๆ... กล่าวกันว่า "การเริ่มต้นที่ดีเท่ากับมีชัยไปกว่าครึ่ง" ประโยคดังกล่าวนั้น เป็นความเห็นทีมีมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลแล้ว และสามารถนำมาใช้ได้ในทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น การเรียนหนังสือ การทำงาน ธุรกิจ สงคราม การตลาด รวมทั้ง...การมีคู่ครอง ...และในการจะมีคู่ชีวิตสักคนนั้น ก่อนที่จะตกลงปลงใจใช้ชีวิตคู่กับใคร ต้องพยายามเปิดตาให้กว้างๆ ศึกษากันให้มากและนานพอที่จะตัดสินใจว่า คนนี้แหละที่เราจะต้องอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตร่วมกันในเกือบจะทุกสิ่งทุกอย่างไปตลอดชีวิต ถ้าเป็นไปได้ และแน่นอนเราคงจะต้องมี 'ลูก' เป็นโซ่ทองคล้องชีวิตคู่

การวางแผนที่ดีย่อมนำไปสู่ความสำเร็จฉันใด การวางแผนเลือกคู่ชีวิตก็นำไปสู่ความสุขในการใช้ชีวิตคู่เช่นกัน

เราคงจะมาเรียนรู้จากการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ไม่บ่อยครั้งนักหรอก!! และเมื่อเราตัดสินใจไปแล้ว...ก็ต้องเดินหน้าต่อไป ปรัชญาของการใช้ชีวิตคู่ แม้ว่าจะมีหลากหลาย แต่จุดมุ่งหมายมีอยู่อย่างเดียวก็คือ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของคนสองคน ถ้าจะถามว่าการจะดำเนินชีวิตคู่ให้ราบรื่น และสามารถฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการไปได้แล้วละก็ เคล็ดลับอยู่ที่คำสองคำนี้คือ อดทน และอดออม ที่จริงก็เป็นคำสองคำที่เป็นเคล็ดลับในการทำความสำเร็จให้ชีวิตในทุกเรื่องราวนั่นแหละจริงไหม เพียงแต่ต้องนำมาประยุกต์ใช้กับการครองคู่และการวางแผนครอบครัวให้สอดคล้องกันเท่านั้น การมีชีวิตคู่ จึงจะมีความสุขราบรื่นเหมือนที่ฝันไว้

อดทน ที่จะรอคอยในยามที่คนรักต้องจากไปทำงานยังต่างจังหวัดต่างแดน หรือกลับจากทำงานในยามดึก อดทนที่จะไม่เปล่งวาจาจากอารมณ์โกรธ เกลียด ไม่พอใจออกมา อดทนต่อความรู้สึกที่ว่า ทำไมเราต้องปรับตัวเข้าหา แล้วทำไมอีกคนหนึ่งถึงไม่ปรับตัวเข้าหาเราบ้าง อดทนต่อนิสัยบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยามรักกันใหม่ๆ แล้วมาแสดงออกในตอนหลัง อดทนต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองให้สอดคล้องและสอดประสาน กับความต้องการของคนรัก และรู้สึกดีใจ ภูมิใจที่ทำได้เพื่อใครคนนั้น...ที่เรารัก

อดออม แน่นอนว่า การที่คนสองคนมาใช้ชีวิตคู่ด้วยกันนั้น เงินทองย่อมเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตร่วมกัน หากทั้งสองรู้จักอดออมถนอมทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความยากลำบากร่วมกัน และพิจารณาการใช้อย่างถูกต้องแล้ว นาวารักของทั้งสองก็จะสามารถฝ่ามรสุมต่างๆ ไปได้ด้วยดี แน่นอนว่า การใช้จ่ายบางครั้งต้องมีการจ่ายส่วนตัว... ที่เป็นส่วนตัวจริงๆ และไม่จำเป็นจะต้องบอกให้คู่ครองรู้ เพราะบางครั้งคนเราก็ต้องมีเรื่องส่วนตัวบ้าง ควรจัดแบ่งเงินทองให้เรียบร้อยว่า นี่เป็นเงินกองกลางที่จะต้องพิจารณาการใช้จ่ายร่วมกัน และแบ่งส่วนที่เป็นส่วนตัวของแต่ละคนแยกออกไป โดยแบบนี้ จะได้มีความรู้สึกว่า มีส่วนร่วมในการจัดการบริหารการเงินด้วยกัน ขณะเดียวกัน ก็ยังคงมีอิสระในการจับจ่ายใช้สอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ แน่นอนว่า อดทน ... และอดออม คงจะไม่ใช่เคล็ดลับทั้งหมดในการใช้ชีวิตคู่หรอก เพราะยังต้องวางแผนการมีบุตรกันอีก ว่าอยากจะมีบุตรกี่คน ควรเว้นระยะห่างการมีบุตรเท่าใดดี คนหัวปีจะให้เป็นลูกชายหรือลูกสาว และใครควรจะเป็นคนคุมกำเนิด เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ หนุ่มสาวจะต้องหาเวลาพูดคุยกันก่อนที่จะใช้ชีวิตคู่ และพูดจากันด้วยเหตุด้วยผล โชคดีที่ในยุคปัจจุบัน คุณหมอเริ่มเข้ามามีส่วนเป็นคนกลางในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นก่อนจะใช้ชีวิตคู่กัน ลองไปปรึกษาคลีนิกตรวจความพร้อมก่อนสมรสสักหน่อย อาจจะได้ข้อคิดดีๆ ที่มีประโยชน์ในการดำเนินชีวิต และการใช้ชีวิตคู่ไม่มากก็น้อย แถมยังได้ตรวจด้วยว่า มีโรคภัยไข้เจ็บอะไรที่จะเป็นอุปสรรค ขัดขวางการใช้ชีวิตคู่ด้วย เรียกว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัว

แค่วางแผนครอบครัว... ก่อนที่จะมีครอบครัว แล้วคุณจะมีครอบครัวที่คุณฝันเอาไว้...เป็นความฝันที่เป็นความจริง เป็นความฝันของการจะมีชีวิตคู่ด้วย...ความรัก

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

วีธีดาวโหลดไฟล์

1 2 3  45

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

การถูกปฎิเสธ :ความผิดพลาด : ความสำเร็จ

การถูกปฎิเสธ :ความผิดพลาด : ความสำเร็จ

ในเวลาบ่ายของวันหยุด เด็กหนุ่มนอนเอนกายอยู่บนเตียงภายในห้องของตัวเอง ครุ่นคิดถึงเพื่อนๆของเค้าที่ต่างก็ออกไปเที่ยวกับแฟนสาว มีแค่ตัวของเค้าเท่านั้นที่อยู่บ้านเพียงคนเดียว เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความเหงาที่เข้ามาครอบงำ จนในที่สุดเค้าก็บอกกับตัวเองว่า “อา....ทำไมเราถึงต้องมานอนเศร้าอยู่คนเดียวด้วย เอาล่ะ เราต้องการที่จะมีแฟน ดังนั้นมันถึงเวลาแล้วที่จะต้องออกไปหาสาวๆ” ไวเท่าความคิด เด็กหนุ่มรีบจัดแจงเปลี่ยนชุด แต่งตัวอย่างรีบเร่ง และในเวลาไม่นานเค้าก็พร้อมสำหรับการผจญภัยค้นหาหญิงสาวของตัวเอง

เด็กหนุ่มออกเดินทางไปในที่ๆวัยรุ่นมักจะไปพบปะสังสรรค์กัน ใช่แล้ว ที่นี่คือที่ๆดีที่สุดที่เค้าจะมีโอกาสได้พบกับสาวสวยมากมาย เค้ารู้สึกตื่นเต้นมากเพราะนี่คือครั้งแรกที่เค้าตั้งใจออกมาจีบผู้หญิงโดยลำพัง

เด็กหนุ่มค่อยๆหยิบตำราจีบสาวที่ได้จากดอนฮวน เค้าเริ่มทบทวนบทเรียนที่ได้มาจากดอนฮวน

“บทเรียนที่1 ความสำเร็จมาจากความเชื่อ (The height of your accomplishment equals the deep of your conviction)

บทเรียนที่ 2 ที่ใดไม่มีความเคารพ ที่นั่นไม่มีความรัก (No respect No love)”

เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกับในทุกๆครั้งที่เค้าได้เปิดตำราจีบสาว “เอาล่ะ ถึงแม้ว่าในตอนนี้ในตำราจะมีแค่ 2 บท แต่วันนี้เราจะต้องออกไปหาสาวๆและเรียนรู้สุดยอดวิธีจีบสาวเพิ่มเติมให้ได้” เด็กหนุ่มพูดกับตัวเอง

ในที่สุดเค้าก็มาถึงจุดหมาย เด็กหนุ่มเดินไปเรื่อยๆ สายตาก็มองหาสาวสวยที่ถูกใจ และในเวลาอันรวดเร็วหญิงสาวน่ารักคนนึงก็เดินผ่านมา เธอมีรูปร่างที่สมส่วน พร้อมกับใบหน้าที่งามเหมือนนางฟ้า เธอกำลังเดินดูเสื้อผ้าตามประสาของผู้หญิง “โอ้โห!!! เธอต้องเป็นนางฟ้าแน่ๆ ทำไมนางฟ้ามาเดินบนโลกมนุษย์เนี่ย เราควรที่จะเข้าไปคุยกับเธอ เราต้องรู้จักเธอให้ได้!” เด็กหนุ่มคิดในใจ

ทว่าการที่คิดถึงภาพเข้าไปพูดคุยกับสาวสวยนางฟ้าคนนี้ ทำให้เค้ารู้สึกหวาดกลัว เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด เค้าได้แต่ยืนมองสาวน้อยเดินไปๆๆ ไกลขึ้นเรื่อยๆๆๆๆ พร้อมๆกับความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ จนในที่สุดเธอก็เดินหายลับไป

“อา..อีกแล้ว เป็นอย่างนี้อีกแล้ว ไม่ๆๆๆๆๆ เรากลัวอะไรกันเนี่ย ทำไมเราไม่กล้าเข้าไปคุยกับเธอ”

เค้ารู้ดีว่าเค้าควรจะเข้าไปคุยกับสาวน้อย แต่ความกลัวบางอย่างได้มาหยุดการกระทำเอาไว้

เด็กหนุ่มเดินต่อไปอย่างหัวเสีย และในไม่ช้าก็พบกับสาวสวยอีกคนนึง เช่นเดิมสาวน้อยคนนี้เธอก็สวยบาดตาบาดใจ ใกล้เคียงกับสาวน้อยคนแรก “อุแม่เจ้า!!! สวยสุดๆ เธอต้องไม่ใช่มนุษย์โลกแน่ๆ ต้องเข้าไปทักทายเธอซะหน่อยแล้ว” แต่ร่างกายของเด็กหนุ่มกลับไม่ปฎิบัติตาม เค้ายังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ เด็กหนุ่มยังคงได้แต่ยืนมองให้สาวสวยเดินจากไปอีกเช่นเดิม ความรู้สึกร้อนรนภายในใจก็ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าด้วย

เด็กหนุ่มรู้ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ชาตินี้เค้าก็จะไม่มีทางมีแฟนเหมือนคนอื่นๆแน่ เค้ารู้ดีว่าต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติในตัวเค้าอย่างแน่นอน

และแล้วเค้าก็พบสาวสวยคนต่อไป เธอคนนี้ยิ่งสวยกว่าทุกคนที่เด็กหนุ่มเจอมา เสื้อสายเดี่ยวเอวลอยที่เผยให้เห็นหน้าท้องที่แบนราบ กางเกงยีนส์เอวต่ำรับกับสะโพกที่กลมกลึง และใบหน้าที่ใสไร้ริ้วรอย “โอววว แม่เจ้าโว้ยยยย นี่มันสิ่งมีชีวิตประเภทไหนกันนี่ เพอร์เฟ็กต์ที่สุด!!!” คราวนี้เด็กหนุ่มบอกกับตัวเองว่าต้องไม่พลาด เค้ารวบรวมความกล้ามากเท่าที่จะมากได้ แล้วเริ่มเดินเข้าไปหาหญิงสาว ใกล้เข้าไปๆๆๆๆๆๆ ทันใดนั้นหญิงสาวก็ได้หันมาสบตากับเค้าอย่างพอดี!!! เค้าตกใจและรีบก้มหน้าหลบพร้อมกับเดินไปทางอื่น

เด็กหนุ่มไม่กล้าคุยกับสาวสวยอีกเช่นเดิม เค้าถูกต้องคำสาปด้วยความกลัว!!!

เด็กหนุ่มเดินกลับบ้านอย่างผิดหวังที่สุด เพราะในวันนี้มีผู้หญิงสวยเป็นร้อยคนที่ได้พบ แต่เค้าไม่มีความกล้าพอที่จะเข้าไปคุยกับพวกเธอแม้แต่คนเดียว “เรามันขี้ขลาด แค่คุยกับผู้หญิงก็ยังไม่กล้า ทำไมต้องกลัวด้วย นี่เราเป็นอะไรไปเนี่ย!!!”

ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เด็กหนุ่มตะโกนออกมา

และทันใดนั้นเองดอนฮวนก็ปรากฏตัวขึ้น มา

“เจ้าหนุ่มน้อย ปัญหาที่แท้จริงของเจ้าในตอนนี้ไม่ใช่ว่าเจ้ากลัวการพูดคุยกับผู้หญิงหรอก แต่สิ่งที่เจ้ากลัวจริงๆก็คือเจ้ากลัวการถูกปฎิเสธ” ดอนฮวนพูด

“กลัวการถูกปฎิเสธ อย่างนั้นหรือครับ”

“ใช่ เจ้าคิดว่าหากเจ้าเข้าไปหาสาวสวย สบตา เริ่มการพูดคุย แล้วพวกเธอไม่ตอบสนองในแบบที่เจ้าต้องการ ไม่ยอมคุยกับเจ้า หรือปฎิเสธเจ้าในทางใดทางหนึ่ง เจ้าคิดว่าเจ้าจะต้องเจ็บปวดมาก และเพื่อที่จะเลี่ยงความเจ็บปวดนั้น เจ้าเลยเลี่ยงที่จะพูดคุยกับผู้หญิง เจ้าต้องการที่จะเล่นเกมจีบสาวอย่างปลอดภัยเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองถูกปฎิเสธ แต่ว่าหนทางที่เจ้าเลือกก็ไม่ได้ทำให้เจ้าหายจากการเจ็บปวดไปได้ ตรงกันข้ามการที่ปล่อยให้สาวคนที่เจ้าชอบเดินจากไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลย กลับทำให้เจ้าเจ็บปวดมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า”

“ต..ต.แต่ว่า ผมไม่กล้าจริงๆนี่ครับ ผมเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด” เด็กหนุ่มพูดอย่างเศร้าสร้อย

โป้ก!!! ดอนฮวนตบหัวเด็กหนุ่มก่อนที่จะพูดว่า “มานี่ๆ ตามมา ข้าจะพาเจ้าไปดูอะไรบางอย่าง”

ดอนฮวนพาเด็กหนุ่มมาพบกับผู้ชายคนนึงที่กลัวการถูกปฎิเสธ

“ผู้ชายคนนี้เหมือนกับเจ้าทุกอย่าง เค้าต้องการจะอยู่อย่างปลอดภัย ไม่ต้องการที่จะถูกปฎิเสธ

โอวววว ไม่ ไม่ได้อย่างแน่นอนเพราะเค้าไม่อยากจะถูกทำร้ายจิตใจ ผู้ชายคนนี้ถึงแม้จะหน้าตาดีแต่เค้าจะไม่มีทางเริ่มต้นพูดคุยกับสาวๆก่อนแม้แต่คนเดียว เค้ากลัวการถูกปฎิเสธ!!!”

ผู้ชายรอ รอ แล้วก็รออยู่ช่วงเวลาหนึ่ง หวังว่าจะมีสาวๆเข้ามาหาเค้าก่อน จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีสาวคนไหนเข้ามา เค้าเริ่มอึดอัด แต่ด้วยความที่มีเพื่อนเยอะ เค้าเลยยังมีโชคอยู่บ้าง เพื่อนผู้หญิงได้แนะนำให้เค้ารู้จักกับสาวคนหนึ่ง “วู้ฮู้ ดีจริงๆ ไม่ต้องเสี่ยงต่อการโดนปฎิเสธ แถมยังได้สาวๆอีกด้วย ในที่สุดก็มีแฟนซะที” ชายหนุ่มดีใจที่สุด

“ทุกอย่างเหมือนกำลังไปได้ด้วยดี แต่เราลองมาดูกันสิว่า ชีวิตของผู้ชายที่ไม่ต้องการโดนปฎิเสธจะเป็นยังไงต่อไป” ดอนฮวนบอกเด็กหนุ่ม

ทั้งคู่คบกันไปได้สักพักก็เลิกกันไป และชีวิตของเค้าก็ดำเนินต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ เมื่อใดก็ตามที่เค้าต้องการคบกับผู้หญิงสักคน เค้าจะรอให้เพื่อนๆแนะนำให้ ตอนนี้นอกจากเค้าจะมีปัญหากลัวการถูกปฎิเสธแล้ว เค้ายังมีปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย เค้าไม่ได้ผู้หญิงในแบบที่เค้าต้องการ!!! แน่ล่ะ เค้าจะได้ผู้หญิงในแบบที่ต้องการได้อย่างไร ในเมื่อ เค้ารอคอยให้คนอื่นเป็นคนเลือกมาให้

“แต่ว่า...เค้าเป็นผู้ชายหน้าตาดีนะครับ มันก็น่าจะมีผู้หญิงในแบบที่เค้าชอบเข้ามาหาเค้าก่อนบ้างอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ? เค้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปหาผู้หญิงก่อนแล้วเสี่ยงกับการถูกปฎิเสธ” เด็กหนุ่มถามด้วยความสงสัย

“เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าอยากจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตหวังพึ่งแต่โชคชะตาอย่างนั้นหรือ!!! ทำไมเจ้าถึงอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับการรอคอย!!! ทำไมเจ้าต้องรอให้ผู้หญิงเข้ามาหาเจ้าก่อน ทั้งๆที่เจ้าสามารถออกไปหาสาวคนที่เจ้าถูกใจได้ ทำไมเจ้าถึงให้คนอื่นมากำหนดชีวิตของเจ้า สิ่งที่เจ้าเป็น ทั้งๆที่เจ้าสามารถกำหนดชีวิตเจ้าได้ด้วยตัวเอง!!!”

มันเป็นจุดจบของความเป็นชาย การเป็นผู้ชายหมายถึงการออกไปเอาสิ่งที่ต้องการ ไม่ใช่รอคอยโชคชะตา!!!

ดอนฮวนพาเด็กหนุ่มมาพบผู้ชายอีกคนนึง ผู้ชายคนนี้ไม่หล่อ ไม่รวย เห็นได้ชัดว่าเค้าไม่ใช่ชายในฝันของผู้หญิงสักเท่าไหร่ แต่เค้ามีสิ่งที่ผู้ชายคนอื่นไม่มี เค้าไม่กลัวการถูกปฎิเสธ!!! เค้าเข้าไปพูดคุยกับสาวๆที่เค้าชอบก่อนผู้หญิงมักจะคุยด้วยอย่างเต็มใจ เค้าขอเบอร์โทรศัพท์พวกเธอ แต่ว่าพวกเธอก็มักจะปฎิเสธอย่างสุภาพ เค้ายังคงพยายามต่อไปอีกนับสิบครั้ง แต่ว่าโชคยังไม่เข้าข้าง ผู้หญิงยังปฎิเสธกลับมาทุกครั้ง

“อา... แย่ๆๆ เค้าทำผิดพลาดมาก เค้าไม่ควรเข้าไปขอเบอร์พวกเธอเลย ผมรู้ว่าเค้าต้องเจ็บมากแน่ๆที่โดนปฎิเสธทุกครั้ง”

“คอยดูต่อไป เจ้าหนุ่มน้อย”ดอนฮวนบอกเด็กหนุ่ม

ชายหนุ่มยังคงเข้าไปคุยกับสาวๆอย่างสม่ำเสมอ แต่ครั้งนี้เลวร้ายที่สุด เค้าโดนปฎิเสธอย่างหยาบคายโดยสาวคนหนึ่ง

“ง่ะ...แย่แล้ว ครั้งนี้แย่จริงๆ ผู้หญิงบอกให้เค้าไปไกลๆ เค้าต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ”

ตรงกันข้าม ชายหนุ่มขอบคุณหญิงสาวและเดินจากออกมาอย่างสง่าผ่าเผย เค้ามีสีหน้าสบายใจ ไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย

“มันเป็นไปได้ยังไง!!! เค้าเพิ่งถูกปฎิเสธมาอย่างแรง มันเจ็บมากผมรู้ เค้าเพิ่งทำผิดพลาดมาทำไมถึงยังยิ้มได้ เค้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”เด็กหนุ่มตกตะลึง

“เค้าขอบคุณเธอเพราะเธอทำให้เค้ารู้ว่าเธอเป็นนางมารร้าย ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตัวเค้า เธอมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์และสื่อสารกับคนอื่น เค้าไม่ได้ต้องการผู้หญิงประเภทนี้ ! และในการที่เธอปฎิเสธเค้าอย่างหยาบคายทำให้เค้ารู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เค้าต้องการ เค้าไม่ต้องเจอกับปัญหานั้นอีกต่อไป นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเค้าถึงขอบคุณเธอ”

“แต่ถึงแม้ว่าปัญหาจะไม่ได้อยู่ที่ตัวเค้า มันก็ยังแย่อยู่ดีที่โดนปฎิเสธกลับมา ไม่ใช่หรือครับ?

ยังไงเค้าก็ต้องรู้สึกเจ็บที่ทำผิดพลาด”เด็กหนุ่มยังคงสงสัย

“ไม่ ไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย และเค้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดด้วย ตรงกันข้ามเค้ารู้สึกพอใจเพราะเค้ากำลังประสบความสำเร็จ” ดอนฮวนอธิบาย

“อะไรนะ?” เด็กหนุ่มงุนงงอย่างมาก “ผมไม่เข้าใจครับ ทำไมเค้าถึงไม่เจ็บ ทำไมเค้าถึงกำลังประสบความสำเร็จ? เห็นๆกันอยู่ว่าเค้าโดนปฎิเสธกลับมาทุกครั้ง”

“เค้าไม่เจ็บเพราะว่าการถูกผู้หญิงปฎิเสธหรือสิ่งที่เจ้าเรียกว่าการทำผิดพลาดนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่เค้าต้องการในการจีบสาวให้ประสบความสำเร็จ เรามาถามผู้รู้กันหน่อยดีมั้ย?”

ด้วยพลังเวทย์มนต์ ดอนฮวนหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเสกบุคคลผู้หนึ่งขึ้นมา

โทมัส เอดิสัน บิดาแห่งการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า

“ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวน มิสเตอร์เอดิสัน”ดอนฮวนพูด “แต่เราอยากจะถามคุณสักหน่อยว่า อัจฉริยะอย่างคุณรู้สึกยังไงในตอนที่ชาวบ้านหาว่าคุณบ้าที่พยายามประดิษฐ์หลอดไฟ คุณรู้สึกยังไงในตอนที่คุณล้มเหลวมา 10,000 ครั้งก่อนที่จะประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าได้สำเร็จ”

มิสเตอร์เอดิสันเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดว่า
“I have not failed. I’ve just found 10,000 ways that won’t work.”

Thomas A.Edison 1874-1931

“ผมไม่ได้ล้มเหลวแต่ผมค้นพบวิธีที่ไม่ได้ผลถึง 10,000 วิธี”

โทมัส เอ. เอดิสัน 1874-1931

ดอนฮวนขยับไม้กายสิทธ์ขึ้นลงอยู่ 2-3 ครั้ง มิสเตอร์เอดิสันก็หายตัวไปในกลุ่มควันสีเทาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าเห็นว่าการถูกปฎิเสธคือเรื่องที่ผิดพลาด แต่มิสเตอร์เอดิสันกลับมองว่าเป็นความสำเร็จ การก้าวไปข้างหน้า บอกข้ามาสิวันนี้เจ้าถูกปฎิเสธโดยสาวๆ บ้างหรือยัง? วันนี้เจ้าได้ทำสิ่งที่เจ้าเรียกว่าความผิดพลาดบ้างหรือยัง?”ดอนฮวนถาม

“เอ่ออ...ยังครับ จริงๆแล้วผมยังไม่ได้เริ่มทำเลยด้วยซ้ำ ผมกลัวการถูกปฎิเสธ กลัวการทำผิดพลาด”

“นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเจ้าถึงยังไม่ประสบความสำเร็จ เจ้ายังสะสมความผิดพลาดไม่เพียงพอ เอาล่ะเราลองมาถามผู้รู้อีกคนดูดีกว่า”

ดอนฮวนเสกสนามบาสเก็ตบอลขึ้นมาพร้อมกับนักบาสเก็ตบอลร่างสูงผิวดำคนหนึ่ง

จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ไมเคิล จอร์แดน

“มิสเตอร์จอร์แดน คุณชนะเลิศ NBA ถึง 6 สมัย และตั้งแต่ชาวโลกได้รู้จักกีฬาบาสเกตบอล คุณได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่เล่นบาสเกตบอลเก่งที่สุดเท่าที่เคยมีมา คุณช่วยบอกผมหน่อยสิว่าอะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของคุณ?” ดอนฮวนถาม

มิสเตอร์จอร์แดนยิ้มและวิ่งไปหยิบลูกบาสแล้วเลี้ยงไปที่เขต 3 แต้ม เค้ากระโดดขึ้นชู้ตทันที

แป็ก!!! โอวว ลูกกระทบห่วงออกมา เค้ายังวิ่งตามไปเก็บบอล แล้วเลี้ยงกลับไปที่เดิม พร้อมกลับกระโดดขึ้นชู้ต แป็ก!!! ลูกยังไม่ลง คราวนี้หนที่สาม มิสเตอร์จอร์แดนหายใจช้าๆ และกระโดดจัมพ์ชู้ตเฟดอเวย์ (fade away) ซวบ!!! ลูกลงไปอย่างสวยงาม มิสเตอร์จอร์แดนหันกลับมามองเด็กหนุ่มแล้วพูดขึ้นมาว่า

“เคล็ดลับของผม มันง่ายนิดเดียว”

“อะไรครับ คุณจอร์แดน เคล็ดลับคุณคืออะไรครับ?”เด็กหนุ่มถามด้วยความตื่นเต้น

“I've missed more than 9000 shots in my career. I've lost almost 300 games. 26 times, I've been trusted to take the game winning shot and missed. I've failed over and over and over again in my life. And that is why I succeed.”

-Michael Jordan.

“ผมชู้ตพลาดมามากกว่า 9,000 ลูกในชีวิตการเล่น ผมแพ้มาเกือบ 300 เกมส์ อีก 26 ครั้งที่เพื่อนร่วมทีมไว้ใจให้ชู้ตในวินาทีสุดท้ายแล้วพลาด ผมทำผิดพลาดมาตลอดเวลา ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก และนั่นก็เป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงประสบความสำเร็จ” -ไมเคิล จอร์แดน

พูดจบมิสเตอร์จอร์แดนได้หายไปกับกลุ่มควันเหมือนเอดิสัน

“เจ้าเข้าใจหรือยัง? คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ไม่เคยทำผิดพลาด แต่คนที่ประสบความสำเร็จเป็นคนที่ทำผิดพลาดตลอดเวลา” ดอนฮวนบอกพร้อมกับใช้ไม้กายสิทธิ์เสกสาวน้อยวัยใสขึ้นมาหนึ่งคน เด็กหนุ่มยืนมองอ้าปากค้าง ตื่นตะลึงกับความสดใสของสาวน้อย

ดอนอวนใช้ไม้กายสิทธิ์เคาะหัวเด็กหนุ่ม “เอ้า! มัวรออะไรอยู่ เข้าไปคุยกับเธอสิ ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเธอแน่ๆ ก็เธอน่ารักซะขนาดนั้น ดัดฟันเหล็กด้วยนะนั่น 55 “ดอนฮวนหัวเราะชอบใจ

“ต...แต่ว่า ผม”

ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ตั้งตัว ดอนฮวนใช้เวทมนต์บังคับร่างกายให้เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาสาวน้อยสุดน่ารัก

“ฮ..เฮ้ยยยย ทำไมขามันขยับไปเอง ไม่เอาๆๆ ..ไม่ๆๆ”

และแล้วเด็กหนุ่มก็มายืนอยู่ตรงหน้าของสาวน้อยพอดิบพอดี เค้าตื่นเต้นมากและยืนตัวบิดไปมา“เอ่อ...อ...คือ ผมคิดว่าคุณน่ารักครับ” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สาวน้อยหัวเราะคิกคักกับความเปิ่นของเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะพูดว่า“ขอบคุณค่ะ”เธอยืนยิ้มให้เด็กหนุ่มจากนั้นก็เดินจากไป

”อา....เธอน่ารักจังและดูเป็นมิตรด้วย บางทีถ้าเราขอเบอร์โทรศัพท์เธออาจจะให้ก็ได้ น..นะ..นี่มันอะไรกันนี่ เราไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสแบบนี้เกิดขึ้น โอวว พระเจ้า นี่เราเพิ่งพลาดโอกาสทองไปใช่มั้ยนี่!!!”

“ใช่แล้ว ผู้หญิงมากมายก็ชอบที่เจ้าเข้าไปคุยกับพวกเธอ พวกเธอมีจิตใจที่ดีกว่าที่เจ้าคาดไว้เยอะ” ดอนฮวนพูด “เจ้าหนุ่มน้อยแต่ก่อนเจ้ามองไม่เห็นโอกาส แต่ตอนนี้เจ้าได้รู้แล้วว่ามันขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง ตอนนี้เจ้าเริ่มเห็นโอกาสนั้นแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเห็นสาวคนที่ถูกใจ อย่าลังเล เข้าไปคุยกับเธอ!!!”

“คุณดอนฮวนผมเริ่มมองเห็นโอกาสแล้ว แต่ผมเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจเอาซะเลย ผมยังลังเลที่จะเข้าไปคุยกับสาวๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมคงไม่มีทางเข้าไปคุยกับเธอแน่ๆ ผมไม่มั่นในตัวเองจริงๆครับ”

“ที่เจ้าลังเล มันก็เป็นเพียงแค่เจ้ายังไม่คุ้นเคยกับการเข้าไปหาพวกเธอเท่านั้นเอง และเจ้าจะไม่มีทางคุ้นกับมันจนกว่าเจ้าจะเดินไปหาพวกเธอ จงจำเอาไว้เมื่อใดที่เจ้าลังเล เจ้าจะต้องเดินเข้าไปคุยกับพวกเธอ อย่ายืนมอง อย่ารอคอยโอกาสที่ดี อย่าคิดหาคำพูดที่เพอร์เฟกต์!!! นี่เป็นวิธีที่จะทำให้เจ้าหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์”

”วงจรอุบาทว์?”

“ทุกๆครั้งที่เจ้าลังเล และรอคอยโอกาสที่เพอร์เฟกต์ เจ้าก็ถูกสาปโดยความกลัวเข้าไปทีละน้อยๆ เจ้าเห็นสาวที่ชอบ เจ้ายืนรอ รอ รอ แล้วก็รอ จนกระทั่งเธอเดินจากไป โอกาสที่เพอร์เฟกต์ไม่เคยมาถึง!!! ทุกๆครั้งที่เจ้าเลือกที่จะยืนอยู่กับที่เจ้าก็ได้ถลำลึกเข้าไปในวงจรนี้ จนกระทั่งเจ้าไม่เหลือความเป็นชายอยู่อีกเลย”

”แล้วผมจะหลุดออกมาจากวงจรนี้ได้ยังไงครับ มีวิธีแก้มั้ยครับ?”

”แน่นอน มันมีทางแก้”

ดอนฮวนยื่นยา 4 เม็ดให้กับเด็กหนุ่ม ยาแต่ละเม็ดใช้รักษาให้ผู้ชายหลุดพ้นจากความลังเล

เด็กหนุ่มทานยาเม็ดที่ 1

“ยาเม็ดที่ 1 ทำให้เจ้าเข้าใจว่า การเข้าไปคุยกับสาวๆ คือสิทธิพิเศษที่ผู้ชายได้รับ นี่คือสิ่งที่ทุกคนรวมทั้งผู้หญิงคาดหวังว่าผู้ชายจะต้องทำ นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติต้องการจะให้มันเป็น!!! การมีสิทธิเข้าไปคุยกับผู้หญิงก่อนคือสิ่งที่เป็นข้อดีของผู้ชาย ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว”

เด็กหนุ่มทานยาเม็ดที่ 2

“ยาเม็ดที่ 2 ทำให้เจ้าไม่ใช้ชีวิตอยู่กับการรอคอย และเลิกที่จะอยู่กับความกลัว เจ้ารู้ว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะใช้ชีวิตในการรอคอยทั้งๆที่เจ้าสามารถออกไปทำมันให้เป็นจริงได้ด้วยตัวเอง มันสนุกอย่างไรที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความกลัว ในกรงขัง!!! จงเป็นอิสระดั่งนกที่บินออกจากรัง ปลดปล่อยตัวเอง ดึงความเป็นชายออกมาและนั่นก็คือการออกไปเอาสิ่งที่ต้องการ เจ้าเห็นผู้หญิงที่เจ้าต้องการ เจ้าเดินไปคุยกับเธอ”

เด็กหนุ่มทานยาเม็ดที่ 3

“ยาเม็ดที่ 3 เจ้ารู้ว่ามีผู้หญิงอีกมากมายที่รอคอยให้ผู้ชายเข้าไปหา ผู้ชายคนที่ไม่เหมือนคนอื่น คนที่กล้าที่จะเป็นอิสระและยอมรับในความเป็นชาย เจ้าไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องกลัวพวกเธอ พวกเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ รูปร่างบอบบาง ร้องไห้บ่อยเพราะความเหงา เฝ้ารอคอยผู้ชายสักคนที่จะเข้ามาในชีวิต ถ้าใครที่ดูเหมือนอ่อนแอขนาดนั้นทำให้เจ้ากลัวได้ล่ะก็ เจ้ามีปัญหาใหญ่แล้วล่ะ”

เด็กหนุ่มทานยาเม็ดที่ 4

“ยาเม็ดที่ 4 เม็ดที่สำคัญที่สุด เมื่อใดที่เจ้าลังเลและกลัวที่จะถูกปฎิเสธ ยาเม็ดนี้จะทำให้เจ้าคิดถึงมิสเตอร์เอดิสันและมิสเตอร์จอร์แดน พวกเขาชอบการโดนปฎิเสธ พวกเขารักการผิดพลาด เพราะว่า…

ความสำเร็จถูกซ่อนอยู่ในความผิดพลาด คนที่มองหาความผิดพลาดเท่านั้นที่จะพบความสำเร็จ!

การจะมีอีคิวที่ดีในชีวิตคู่และความรัก

การจะมีอีคิวที่ดีในชีวิตคู่และความรัก

ชีวิตคู่เริ่มจากคนสองคนเกิดความรักใคร่ผูกพันจนอยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกันและทั้งสองก็มักจะคาดหวังและวาดฝันไว้ว่าจะสามารถครองคู่กันอย่างสุขสมยาวนานไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ มีทฤษฎีและแนวคิดมากมายที่จะทำให้สัมพันธ์รักสัมพันธ์สวาทของเธอและเขาทั้งสองสามารถที่จะดำรงคงอยู่ และพัฒนางอกงามไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป บางทฤษฎีบ่งบอกว่า กามารมณ์ที่สุขสมเป็นส่วนหนึ่งของการครองรักครองเรือน เพราะกามารมณ์นั้น เป็นการบอกรักที่เรียบง่าย และเมื่อเกิดความสุขสมร่วมกันแล้ว เรื่องใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก และเรื่องเล็กๆ ก็จะกลายเป็นไม่มีเรื่อง เนื่องจากกามารมณ์ในชีวิตคู่ เป็นการถ่ายทอดความรักด้วยภาษากาย ถ่ายทอดผ่านการสัมผัสรักที่อบอุ่น ซาบซึ้ง ในช่วงเวลาที่แสนจะโรแมนติกและเป็นกันเอง บางทฤษฎีก็บ่งบอกว่า เสน่ห์ปลายจวัก ผัวจักรักจนวันตาย โดยอาศัยทฤษฎีที่ว่า คนเรานั้นต้องดื่มต้องกิน และความสุขที่ได้รับจากการกินอาหารที่แสนอร่อยรสสัมผัสแห่งความสุข ที่ถ่ายทอดผ่านลิ้นจะเข้าไปกำซาบซ่านอยู่ภายในจิตใจ จนติดอกติดใจในรสมือนาง และไม่สามารถที่จะละจากเธอไปได้ และส่วนใหญ่แล้ว ก็มักจะเน้นในลักษณะของ...การเข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคารพในกันและกัน รวมทั้งให้อภัยกันในความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยไม่ตั้งใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคน ซึ่งอยากมีชีวิตคู่อย่างสุขสมและมั่นคงต้องการ ก็คือ "อีคิว" ความฉลาดทางอารมณ์ ที่ควรจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี กล่าวกันว่า การจะรักษาสัมพันธ์กับใครสักคนหนึ่งนั้น เรื่องของอารมณ์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก... การรู้จักใส่อารมณ์ แต่ไม่ใช้อารมณ์ ในทุกสถานการณ์นั้น มักจะนำความสำเร็จมาสู่ผู้ที่รู้จัก ใส่อารมณ์ออกมาเสมอ

มารู้จัก อีคิว...หรือความฉลาดทางอารมณ์กันก่อนจะดีไหม ??

ความฉลาดทางอารมณ์ หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า 'อีคิว' นั้น หมายถึงความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และพัฒนาอารมณ์ให้เป็นปกติสุขได้ ไม่ว่าเหตุการณ์รอบข้างจะเป็นอย่างไร ความฉลาดทางอารมณ์นี้ เป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มพูนได้ ทั้งจากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก รวมทั้งการฝึกฝนเพิ่มพูนพัฒนาขึ้นในทุกช่วงชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือ อีคิวหรือความฉลาดทางอารมณ์นี้ สามารถฝึกฝนได้ พัฒนาเพิ่มพูนขึ้นได้ด้วยตนเอง จากประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิต

คนที่มีอีคิวไม่ดี จะไม่เข้าใจตนเอง ไม่เข้าใจคนอื่น ไม่ยอมรับความจริง เอาแต่ใจตนเอง และไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งในใจของตนเองได้ โดยปกติแล้ว คนเรานั้น มีอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แช่มชื่น แจ่มใส ยินดีปรีดา เศร้าสร้อย หงอยเหงา โกรธอิจฉาริษยา อาฆาต และมีความเครียด ผิดหวัง หรือสมหวัง แล้วแต่สถานการณ์ไป ซึ่งอารมณ์ในทางลบเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว คนที่มีพื้นฐานของความฉลาดทางอารมณ์ไม่ดี จะเกิดอาการทางอารมณ์มากกว่าและนานกว่าคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ จนเกิดความล้มเหลวในการทำงาน ในสัมพันธภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต่อผู้ร่วมงานหรือบุคคลในครอบครัว

เดี๋ยวนี้ คนเรารักกันง่าย... และเลิกรักกันง่าย เพราะใช้อารมณ์ต่อกัน คิดถึงความเห็น และความต้องการของตนเองเป็นใหญ่ และไม่ยอมรับความคิดและความต้องการของคนใกล้ชิด พูดง่ายๆ ก็คือ เห็นแก่ตัวไว้ก่อน อาจจะเป็นเพราะว่า คนเรายุคนี้ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในทุกเรื่องราว จนเป็นนิสัยที่จะประพฤติปฏิบัติตนแบบนั้น โดยไม่เว้นแม้แต่คนใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม ถ้าสามารถพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี หรืออย่างน้อยก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแล้ว สัมพันธภาพต่อคนใกล้ชิดในชีวิตคู จะดีขึ้นอย่างทันตาเห็น

ใครๆ ก็รู้กันอยู่ว่า คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ หรืออีคิวสูงนั้น จะเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เข้ากับคนอื่นที่อยู่รอบข้างได้ดี รู้จักการร่วมแรงร่วมใจสมานสามัคคีในการทำงานทุกอย่าง รวมทั้งการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันด้วย แน่นอนว่า คนที่มีอีคิวดีนั้น นอกจากจะรู้จักการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีแล้ว ยังรู้จักพัฒนาความสัมพันธ์ รวมทั้งรักษาให้สัมพันธภาพยืนยาว และเป็นสุข เนื่องจากคนที่มีอีคิวสูงๆ จะรู้จักเห็นอกเห็นใจ รวมทั้งเข้าใจในความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างดี

...เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ในชีวิต ก็รู้จักการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

ใช้การสื่อสารในทางบวกในการแก้ปัญหา ใช้พลังอำนาจของความคิดในทางบวกให้เป็นประโยชน์ รู้จักใช้ความชื่นชมยินดีและการให้กำลังใจกันแทนการดุด่าว่ากล่าว... เป็นคนที่ไม่จมอยู่กับความคิดในทางลบ ไม่จมอยู่กับความเศร้านานเกินควร ไม่ท้อถอย ไม่ท้อแท้ ในอุปสรรคต่างๆ ของชีวิต รู้จักหาทางออกที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อทุกคน มีความคิดแบบผู้ชนะคือ... ทุกปัญหามีทางออก เป็นคนที่มองไม่เห็นคนผิด... แต่มองเห็นปัญหาที่จะร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไข

การที่จะมีอีคิวที่ดีในชีวิตคู่และความรักนั้น ก่อนอื่นจะต้องมีทัศนคติที่ดีต่อการมีชีวิตคู่...

· เริ่มจากการรู้จักตนเอง รู้จุดเด่นจุดด้อย รวมทั้งจุดอ่อนของตนเอง และพยายามไม่ให้จุดอ่อนของตนเอง มาเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตคู่ โดยเฉพาะจุดด้อยจุดอ่อนของการใช้อารมณ์ในทางร้าย ใช้การสื่อสารในทางลบ ต้องพยายามยอมรับและปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนของตนเองที่จะเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตคู่กับใครสักคนหนึ่ง ต้องยอมรับให้ได้ว่า เป้าประสงค์ของการใช้ชีวิตคู่ก็คือ การพยายามที่จะเป็นคู่ชีวิตของใครสักคน หาคำตอบให้ได้ก่อนว่า ต้องการมีชีวิตคู่จริงๆ รวมทั้งพยายามทำทุกอย่างที่จะประคับประคองนาวารักไม่ให้ล่มกลางสายน้ำ

· รู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง ยามดีใจ เสียใจ เศร้าใจ ไม่ให้แสดงออกมากไปหรือไม่เก็บกดมากจนเกิดปัญหาทางจิตใจตามมา ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้ โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกโกรธ ผิดหวัง รอจนอารมณ์สงบ แล้วจึงค่อยๆ แก้ไขปัญหาต่างๆ โดยใช้ปัญญามากกว่าอารมณ์

· รู้จักปลดปล่อยอารมณ์ที่ไม่ดีออกไป ในรูปแบบของพลังงานที่ใช้ในการเล่นกีฬา เล่นดนตรี หรือทำอะไรก็ได้ที่เป็นการปลดปล่อยพลังงานออกไป จนเมื่อเกิดการผ่อนคลาย หายเครียดแล้ว จึงค่อยๆจัดการปัญหาต่างๆ ในชีวิตคู่ ด้วยความฉลาดในทางอารมณ์

· รู้จักการเพิ่มพลังสร้างแรงจูงใจ ให้เห็นสิ่งดีงามของคนที่เป็นคู่ชีวิต มองอย่างรู้แจ้ง เห็นจริง ทัศนคติที่ดีต่อคู่ของตน รวมทั้งมานะพยายามที่จะทำให้คู่ชีวิตเห็นความดีงาม ของการมีสัมพันธภาพร่วมกัน

· พยายามเข้าใจถึงจิตใจของคู่ครอง เพราะการจะเปลี่ยนสถานะจากคู่ครองเฉยๆ มาเป็นคู่คิดและคู่ชีวิตนั้น ต้องอาศัยการพยายามเข้าใจอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ ไม่ใช่อย่างที่อยากจะเห็น จะได้ไม่เกิดความผิดหวัง มีการพยายามที่จะปรับปรุงตัวเข้าหากัน ประสานสอดคล้องความแปลกแยก โดยไม่สร้างความแตกแยก รู้จักการอ่านภาษากาย การกระทำของคู่ครอง และคิดให้ออกว่า ถ้าเราเป็นเขาเราจะทำอย่างไร

· รักษาสัมพันธภาพให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ การสร้างสัมพันธภาพนั้น แม้ว่าจะไม่ง่าย แต่การรักษาสัมพันธภาพนั้น ไม่ง่ายแน่นอน เพราะเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่จะต้องเรียนรู้ และปรับปรุงไปตลอดกาลใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน

· รู้จักการยกย่องชมเชยคู่ของตนเองอยู่เสมอ แน่นอนว่า คนเรานั้นมีนิสัยที่ไม่ดีหรือจุดด้อยอยู่ที่ว่า ไม่ชอบให้ใครมาดุด่าว่ากล่าว ในขณะเดียวกันก็ต้องการให้ใครสักคนมาเข้าใจ เห็นใจ ให้กำลังใจ และชื่นชมยินดี

ชีวิตคู่ จึงจะเปี่ยมไปด้วยความรักความผูกพัน และดำเนินไปอย่างราบรื่น และสุขสม ด้วยมธุรสวาจาและความชื่นชม อย่างจริงใจที่มีต่อกัน ร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไป

... ด้วยความฉลาดทางอารมณ์ หรือ อีคิว นั่นเอง !!!

การจะมีคู่แท้สักคน... จึงต้องใช้เวลาในการแสวงหาเสมอ

การจะมีคู่แท้สักคน... จึงต้องใช้เวลาในการแสวงหาเสมอ

...เพราะคำคำเดียวสั้นๆ ที่เรียกขานว่า "รัก" ไม่ใช่หรือที่ทำให้เราเกิดมาในโลกใบนี้อย่างมีคุณค่า เป็นโซ่ทองคล้องชีวิตคู่ของบุพการีของเราให้ยั่งยืนยาวมาจนทุกวันนี้

...เพราะคำว่า "รัก" ไม่ใช่หรือที่ทำให้มนุษย์เราหยุดการรบราฆ่าฟัน หันมาช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามที่ทุกฝ่ายต้องร่วมแรงร่วมใจฝ่ามหันตภัยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติหรือเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ มีคำกล่าวมานานนักหนาแล้วว่า... โลกของเราใบนี้ยังคงหมุนอยู่ได้เพราะพลังที่เกิดจากความรัก และที่ใดที่ปราศจากความรักแล้ว... ความเสื่อมสลายก็จะต้องบังเกิดขึ้น

มีคนกล่าวว่า "รักแท้" เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมจะดับได้ยาก และมีแต่จะเพิ่มพูนความรักให้แน่นแฟ้น ยืนยงต่อไปเรื่อยๆ ตราบนานเท่านาน เป็น...ปรัชญาของความรักในอดีต ซึ่งน่าจะดำรงคงอยู่ และถ้าจะสูญหายไปบ้าง ก็น่าจะหวนกลับมาจรรโลงสังคมและโลกของเราใบนี้ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ปีเก่าผ่านไป...ปีใหม่ที่ผ่านมานี้ เราได้เห็นความทุกข์ยากลำบาก การพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก จากภัยของธรรมชาติที่มาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ...ขณะเดียวกัน เราก็ได้เห็นน้ำใจของผู้คนที่หยิบยื่นความช่วยเหลือแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากเหล่านั้น ด้วยความรัก แบ่งปันน้ำใจ แบ่งปันทรัพย์สินที่มีอยู่ แบ่งปันเวลา แรงกายแรงใจ เพื่อที่จะซับน้ำตาแห่งความทุกข์ของพวกเขาให้บรรเทาเบาบางลงบ้าง... แม้จะเพียงน้อยนิด พลังแห่งน้ำใจเหล่านั้นแหละ ...เป็นพลังของความรัก และพลังของความรักนั้น มักจะเกิดขึ้นในสภาวะแห่งความทุกข์เสมอ ในสภาวการณ์ดังกล่าวทุกคนจะร่วมแรงร่วมใจให้ความรักความสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ลืมความบาดหมาง ความคับข้องใจกันและกัน ให้อภัยกัน...เสมอ เพราะมักจะมีคำกล่าวว่า ความรัก...คือการให้อภัย การให้อภัยนั้น อาจจะเป็นบริบทแรกของความรัก... และบริบทสุดท้ายของความรักก็ได้ ใครจะรู้ แม้ว่าในยุคนี้ คนเราจะแล้งน้ำใจ...และเห็นแก่ตัวกันมากขึ้นทกขณะ แต่คนที่ยังคงมีความรักและรู้จักการให้อภัย...จะมีความสุขในบั้นปลายชีวิตเสมอๆ ...และแม้ว่า ความรักจะไม่ค่อยยืนยงเท่าไร ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงในยุคกระแสแห่งการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ในยุคที่ต้องเอาตัวรอดจากสภาพเศรษฐกิจสังคมที่เปลี่ยนไป จนยากที่จะก้าวตามทันการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่รู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสังคมยุคใหม่

การจะมีคู่แท้สักคน... จึงต้องใช้เวลาในการแสวงหาเสมอ!! และจำไว้ว่า ถ้าพบแล้วอย่าปล่อยให้ผ่านไป... เพราะอาจจะไม่มีผ่านมาใหม่อีก คู่ของคนเรานั้น มีทั้งคู่กรรม...และคู่บุญ และบางคนก็เป็นทั้งคู่บุญคู่กรรมด้วยกัน วัฏจักรของคู่ที่เวียนว่ายตายเกิดมาในชีวิตของคนเรานั้น มักจะมีคู่บุญและคู่กรรมสลับกัน เหมือนที่เขาว่าไว้ว่า ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหนนั่นแหละ ใครที่กำลังทุกข์อยู่ก็ขอให้รู้ว่า เมื่อเกิดความทุกข์ถึงที่สุดแล้ว ในท้ายที่สุดถ้ายังคงมีกำลังใจที่จะดำรงคงอยู่ ความสุขก็จะกลับมาเป็นรางวัลชีวิต หลายต่อหลายคนเศร้าโศก... เมื่อคนรักคู่ครองที่อยู่กันมานานจะต้องจากไป ถ้าหัดคิดบ้างว่า... คู่กรรมกำลังจะจากไปแล้ว คู่บุญกำลังจะมา ความสุขในชีวิตก็จะบังเกิด พลังอำนาจของความคิดในทางบวกนั้น เป็นพลังอำนาจที่ปฏิเสธไม่ได้ และมักจะเป็นจริงตามที่คิดเสมอๆ แม้ว่าบางครั้งอาจจะต้องรอนานจนเกือบจะรอไม่ได้ก็ตาม ...สวรรค์ไม่ทำร้ายคนที่คิดดี ทำดี ตลอดไปหรอก!! ในท้ายที่สุด บุญกุศล และความดีที่ทำก็จะสามารถเอาชนะความทุกข์ภายในใจได้ และเมื่อนั้น ความรักก็จะหวนกลับมาใหม่ ส่วนใครที่อยู่ครองชีวิตกับคนที่คิดว่า เป็นคู่บุญ ก็ควรจะร่วมกันทำบุญกุศลร่วมกันเป็นประจำ เพื่อที่คู่บุญจะได้ไม่จากไป... และคู่กรรมที่จะนำความทุกข์ยากจะไม่กลับมา เคยอ่านหนังสือที่มีชื่อว่า...เราจะข้ามเวลามาพบกัน ซึ่งเรื่องราวกล่าวว่า คนเรานั้นอาจมีอยู่หลายชาติภพ ถ้าเชื่อในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด ทีนี้ในแต่ละชาติภพนั้น ก็น่าจะมีเนื้อคู่อยู่อย่างน้อย 1 คน ไม่ว่าจะเป็นคู่บุญ หรือคู่กรรมก็ตาม ...บางคู่ ก็ทำบุญร่วมกันขอตามมาเกิด ในชาติภพต่อไปเพื่อที่จะรับผลบุญที่กระทำร่วมกัน ...บางคู่ก็ทำกรรมร่วมกันมา ก็อาจจะอาฆาต พยาบาทตามมาทำลายล้างกันในชาตินี้ แล้วแต่จะตั้งจิตอธิษฐานในทางที่ดี...หรือทางที่ร้าย และในบางชาติภพที่เนื้อคู่ ไม่ว่า คู่บุญ หรือคู่กรรม ตามมาพบกันมากกว่า 1 คนในชาติภพนั้น เรื่องราวความรัก ความหวัง ความผิดหวัง ความพลัดพราก...และอะไรต่อมิอะไรที่อยากให้เกิด และไม่อยากให้เกิดก็อาจจะเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ ซึ่งนอกเหนืออำนาจของมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่จะไปจัดการได้

...ต้องปล่อยให้เป็นไปตามวัฏจักร ตามธรรมชาติของความรักความหลงของมวลมนุษยชาติ ได้แต่แนะนำให้ตั้งสติเอาไว้ เวลาที่คู่กรรมจะจากไป...ให้เขาหรือเธอไปพบกับคู่กรรมของพวกเขา จะได้ไม่กลับมาทำความทุกข์ยากลำบากใจให้กับเราอีกต่อไป

...และภาวนาขอให้คู่บุญของตัวเรา จงรีบมาแสดงตัว นั่นเป็นแนวคิดที่ควรคิด...ในเวลาแห่งการพลัดพราก ว่าก่อนอื่นมีคนคนหนึ่งที่รอความรักอยู่เสมอ และคนคนนั้นก็คือ ตัวของเราเอง ในเมื่อตัวของเราเกิดจากความรักของพ่อแม่ ซึ่งได้ให้กำเนิดเรามา เราจึงต้องรักษาตัวของเรา ซึ่งเป็นที่รักของพ่อแม่ เอาไว้ทดแทนคุณของบิดามารดา ก่อนที่จะจากโลกนี้ไปอย่างสงบสุข เหมือนที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ฝากกลอนเอาไว้ให้ช่วยเขียนเตือนสติของผู้ที่จะมีความรักทั้งหลายว่า...

หากรักใคร ขอให้รัก เพียงแค่ครึ่ง
อีกครึ่งหนึ่ง ของหัวใจ เก็บไว้ฝัน
หากวันใด ถูกสลัด ตัดสัมพันธ์
เอาครึ่งนั้น มาทดแทน แทนที่ใจ

การแข่งขัน กับ การพักผ่อน

การแข่งขัน กับ การพักผ่อน

ยุคนี้คำว่า การแข่งขัน กำลังขึ้นสมอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องบอกว่า ต้องพร้อมสำหรับการแข่งขัน นี่อาจจะเว้นเฉพาะคนที่มีอาชีพเป็น ศิลปิน บริสุทธิ์ แบบ คุณถวัลย์ ดัชนี ที่ขายตัวเองได้ด้วยความยิ่งใหญ่บารมี ไม่ต้องรอให้อากู๋โปรโมตแบบศิลปินแกรมมี่

แต่หากเป็นคนธรรมดา ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มักจะต้องแข่งขันอยู่ดี บางคนแข่งแบบไม่ลืมหูลืมตา จนป่วยไปเลยก็มี หรือไม่ก็แข่งจนเหนื่อยตายไปก็มี เพราะว่าลืมพักผ่อน

ฝรั่งให้ความสำคัญกับการพักผ่อนอย่างมีวินัย เห็นได้จากการที่ผู้บริหารฝรั่งมีการลาหยุดกันได้เป็นเดือนๆ และเขาก็ใช้มันอย่างจริงจัง หายไปจากสำนักงานไปพักผ่อนกันจริงๆ

ตอนนี้เป็นยุคสื่อสารไร้พรมแดน มีการทำการศึกษาเรื่องการพักผ่อน ว่าการที่คนมีวิถีชีวิตเปลี่ยนไปโดยมีเครื่องมือสื่อสารและอำนวยความสะดวกมากขึ้นนั้น ได้พักผ่อนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนไหม

พูดถึงเรื่องนี้ก็แวบไปถึงเมื่อวันก่อนแวะเยี่ยมเพื่อน เธอเพิ่งซื้อเครื่องล้างจานมา หลังจากรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน จะช่วยเธอล้างถ้วยล้างจาน เธอก็บอกเอาไว้นั่น เดี๋ยวให้เครื่องมันจัดการ แล้วเราก็มานั่งคุยกันต่อ

คนอเมริกันเขาช่างทำการศึกษาทุกๆ เรื่องเอาไว้ ขณะนี้มีนักเศรษฐศาสตร์อเมริกันสองคนทำวิจัยเรื่องการพักผ่อนของคนอเมริกันในยุคปัจจุบัน ผลสรุปออกมาว่าคนอเมริกันพักผ่อนมากขึ้น

นักเศรษฐศาสตร์สองคนนี้คนหนึ่งทำงานอยู่ที่เฟด หรือ Federal Reserve Bank at Boston ซึ่งเป็นงานแบบเดียวกับที่ อลัน กรีนสแปน ทำ เพียงแต่อันนี้อยู่ที่บอสตัน อีกคนอยู่ที่ University of Chicago"s Graduate School of Business ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงทั้งคู่

วิธีทำวิจัยคล้ายกับที่บ้านเรามีการวิจัยตลาดกัน คือให้กลุ่มเป้าหมายเขียนไดอารี การวิจัยด้วยการเก็บข้อมูลจากไดอารีนี้มีมานานและเป็นที่นิยมกัน เขาให้กลุ่มเป้าหมายซึ่งในกรณีนี้ไม่ได้รวมพวกหลังเกษียณไว้บันทึกว่าตลอดวันทำอะไร ไม่ใช่แค่ที่ที่ทำงานแต่หลังและก่อนเข้าทำงานด้วย (ตอนหลับคงไม่ต้องบันทึกว่าฝันว่าอะไร มากไป)

แล้วเขาก็แบ่งวิธีวัดการพักผ่อนออกเป็น 4 แบบ อันที่ตีวงแคบที่สุดรวมถึงกิจกรรมอะไรก็ตามที่คนถือว่าเป็นการผ่อนคลายหรือสนุกสนาน ส่วนอันที่กว้างออกไปก็หมายถึงอะไรก็ตามที่ทำแล้วไม่ได้รับค่าจ้าง งานบ้าน หรือการวิ่งออกไปทำธุระ

เขาบอกว่าสี่สิบปีที่ผ่านมานี่คนอเมริกันพักผ่อนมากขึ้น 4-8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถ้าหากเทียบจากว่าทำงานกันอาทิตย์ละ 40 ชั่วโมง ก็เท่ากับได้เวลาพักมากขึ้นถึง 5-10 สัปดาห์ต่อปี
ที่น่าสนใจก็คือคนอเมริกันทั้งเพศหญิงและชาย ทั้งการศึกษาสูงและน้อย แต่งงานหรือเป็นโสด มีลูกหรือไม่มี ต่างพักผ่อนมากขึ้นทั้งนั้น และที่แปลกก็คือคนที่การศึกษาน้อยแต่มีงานทำพักผ่อนดีกว่าคนที่รวยและมีงานดีๆ

ข้อสังเกตอีกอันหนึ่งก็คือเมื่อเปรียบเทียบคนอเมริกันกับคนยุโรปในประเทศที่ร่ำรวย คนอเมริกันก็ยังทำงานในสำนักงานยาวนานกว่าคนยุโรป เพราะว่าตัวเลขชั่วโมงทำงานของคนยุโรปลดลงนั่นเอง

ทีนี้ต้องหันมาดูว่าทำไมท่านนักวิจัยทั้งสองจึงร่วมสรุปกันสรุปว่าคนอเมริกันพักผ่อนมากขึ้น อันนี้มันขึ้นอยู่กับคำจำกัดความของทั้งสองคนว่าอะไรที่เป็นการทำงาน อะไรที่เป็นการพักผ่อน และข้อมูลที่ได้มาเป็นแบบไหน

ทั้งสองบอกว่าการเก็บข้อมูลของทางราชการซึ่งเก็บจากเฉพาะที่ทำงานนั้นไม่ถูกต้อง อันนั้นเหมาะกับยุคที่คนทำงานกันในโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานล้วนๆ เดี๋ยวนี้คนทำงานที่บ้านก็มี ทำงานอิสระก็มี แล้วเขาก็ถือว่าการจับจ่ายซื้อของ การเตรียมอาหารให้ตัวเองและครอบครัว ออกไปทำธุระ และทำงานบ้าน พวกนี้ก็คืองานเหมือนกัน งานพวกนี้แหละหนักเท่ากับงานสำนักงานเลยทีเดียว โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่ต้องดูแลลูกด้วยทำงานนอกบ้านด้วย หนักหยอกใคร ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ชายไทยส่วนใหญ่จะเห็นว่างานบ้านนั่นก็งานนะคะ

ญาติของผู้เขียนคนหนึ่งมีลูกสองคน เธอชอบมาทำงานที่บริษัทมาก เพราะเห็นว่างานบริษัทสบายกว่าการเลี้ยงดูลูกสองคนที่บ้าน ส่วนผู้เขียนนั้นก็เห็นว่างานที่บริษัทหนักมาก แต่งานบ้านเป็นเรื่องเบาและสนุก ไม่ว่าจะเป็นซักผ้า ทำกับข้าว จัดบ้าน รดน้ำต้นไม้ หรือแม้กระทั่งหาเห็บให้สุนัข งานพวกนี้ถ้าในสายตาของนักวิจัยทั้งสองก็คงเป็นงานเหมือนกันนะคะ

ในงานวิจัยชิ้นนี้ เขาบอกว่าคนอเมริกันทำงานน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นงานที่ได้เงินหรืองานบ้าน ทั้งนี้เพราะมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากขึ้น มีเดลิเวอรี่มากขึ้น มีบริการอื่นๆ สำหรับชีวิตมากขึ้น เช่น ออนไลน์ช็อปปิ้ง ถ้าในเวอร์ชั่นไทยก็คงบอกว่า มีอาหารสำเร็จรูปขายตามหัวมุมถนนต่างๆ (สกปรก แต่สะดวก ทำไงได้) มากขึ้น อาหารถุงพลาสติค อาหารกล่อง แม้แต่โอเลี้ยงกาแฟเย็นถุงพลาสติค ยังพัฒนาเป็นแก้วพลาสติค บางรถเข็นยังสิบบาทเท่าเดิม
แม่บ้านทั้งหลายก็ไปทำงานหาเงินได้มากขึ้น

การเก็บข้อมูลด้วยไดอะรี่แบบนี้ไม่เฉพาะแต่อเมริกาที่ทำ แต่ออสเตรเลีย และประเทศในยุโรปหลายประเทศก็ทำกัน สำนักงานสถิติแห่งชาติของไทยจะทำไหมคะ ก่อนทำก็ต้องล้างสมองคนไทยก่อนนะคะว่าต้องบันทึกอย่างซื่อตรง ไม่ใช่ผักชีโรยหน้า หรือแต่งข้อมุลเพื่อให้ตัวเองดูดี ถึงจะเอาไปใช้ได้จริง

ถามว่าคนอเมริกันคิดยังไงกับผลวิจัยอันนี้ ถ้าคนที่รายได้น้อยหน่อยอาจจะบอกว่า เอ เห็นท่าเราจะต้องทำงานมากขึ้น แต่สำหรับคนอเมริกันส่วนใหญ่ดูเหมือนว่าจะพอใจที่ได้พักผ่อนมากขึ้น

และที่สำคัญมันหมายถึงว่าการทำงานน้อยลงแต่รายได้ไม่ได้ลดลงนั้นคือ เวลาของเขามี (มูล) ค่ามากขึ้นนั่นเอง

รวมเรื่องความรัก



กลอนรักดีๆ ชอบนะ ถ้าเธอเป็นเหมือนที่ผ่านมากลอนรักดีๆ ชอบนะ ถ้าเธอเป็นเหมือนที่ผ่านมา
ชอบนะ ถ้าเธอเป็นเหมือนที่ผ่านมา ชอบนะ เวลาเธอส่งสายตามาให้ฉัน ชอบนะ ถ้าเธอยังคอยแคร์และผูกพัน ชอบนะ
เรื่องน่ารู้ วิธีที่ทำให้หนุมๆปิ๊ง แบบเร่งด่วน -เรื่องน่ารู้ วิธีที่ทำให้หนุมๆปิ๊ง แบบเร่งด่วนคิดว่าตัวเองมีเสน่ห์น่าหลงใหลมากกว่าปกติ ถ้าเราคิดว่าฉันสวยฉันดูดี กิริยาอาการและการแสดงออกก็จะเต็มไปด้วย
กลอนความรักดีๆ วันที่โลกนี้ดูกว้าง และอ้างว้างเกินทนไหวกลอนความรักดีๆ วันที่โลกนี้ดูกว้าง และอ้างว้างเกินทนไหว
วันที่โลกนี้ดูกว้าง และอ้างว้างเกินทนไหว ขอให้เป็นฉันได้ไหม อยู่ข้างกายเป็นเพื่อนกัน ถ้าใจเธอสิ้นแสงแรงไฟ สิ้นไร้
เรื่องดีๆน่าอ่าน สัญญาณคู่แท้ 9 ข้อเรื่องดีๆน่าอ่าน สัญญาณคู่แท้ 9
ข้อสัญญาณคู่แท้ 1 : เธอสนุกกับการทำอะไรด้วยกันกับคุณ แม้ว่าสิ่งนั้น จะเป็นเรื่องจำเจที่สุด สัญญาณคู่แท้ 2 : เธอปฏิบัติ
บทความดีๆ น่าอ่าน ความรักมีค่ามากเพียงใดบทความดีๆ น่าอ่าน ความรักมีค่ามากเพียงใด
เราอาจจะรอคอยใครบางคนอยู่ ใคร...ที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเราไปจากเดิม เราอาจจะเดินไปเจอใครคนนั้นที่ปลาย
บทความรัก คุณเคยรู้สึกอย่างนี้บ้างมั๊ย “คิดถึง… ใครบางคน”บทความรัก คุณเคยรู้สึกอย่างนี้บ้างมั๊ย “คิดถึง… ใครบางคน”
เคยมั๊ย เมื่อคุณ คิดถึง ใครบางคน คุณรู้สึกทรมาน เพราะคุณคิดไปว่า เขาคนนั้น อาจจะไม่ได้ คิดถึง คุณอยู่ ถึงแม้วาการ
บทความรัก ระหว่าง “คนที่เรารัก” กับ “คนที่รักเรา” เราควรจะเลือกใครดี??บทความรัก ระหว่าง “คนที่เรารัก” กับ “คนที่รักเรา” เราควรจะเลือกใครดี??คนที่เรารัก.....คือคนที่ใช่สำหรับเรา แต่บางครั้ง.....เรากลับรู้สึกว่าเขาไม่ใช่ คนที่เรารัก.....คือคนที่เราคิดว่าเรารู้จักเขาดี
กลอนกำลังใจ  อย่าเพิ่งยอมแพ้ นะคนดีกลอนกำลังใจ อย่าเพิ่งยอมแพ้ นะคนด
อย่าเพิ่งยอมแพ้ นะคนดี ที่ตรงนั้น วันนี้ อาจไม่มีฉัน แต่เธอรับรู้ใช่ไหม ถึงความผูกพัน ฉันซ่อนตัว อยู่ในนั้น ทุกคืนวันที่
รู้สึกยังไง… เวลาเห็นแฟนเก่าเดินกับคนใหม่รู้สึกยังไง… เวลาเห็นแฟนเก่าเดินกับคนใหม่เมื่อมีความรักก็ต้องมีร้างลา.... ไม่ว่าจะรักน้อยหรือรักมาก การลาจากต้องเข้ามามีอิทธิพลเสมอ อยู่ที่ว่าการลาจากครั้ง
\กลอนซึ้งๆ ในความเป็นเพื่อน . . . ไม่ต้องการความใส่ใจมากนักกลอนซึ้งๆ ในความเป็นเพื่อน . . . ไม่ต้องการความใส่ใจมากนัก
ในความเป็นเพื่อน . . . ไม่ต้องการความใส่ใจมากนัก แต่ในการเป็นคนรัก . . . ความใส่ใจ ดูแลกัน คือสิ่งสำคัญ หาก





กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis)

 

กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis)

ผู้นำคนสำคัญคือ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิตแพทย์ชาวเวียนนา ได้ศึกษาวิเคราะห์จิต ของมนุษย์ และอธิบายว่า พลังงานจิตทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ มี 3 ลักษณะ คือ

ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)

1. จิตสำนึกหรือจิตรู้สำนึก (Conscious mind) หมายถึงภาวะจิตที่รู้ตัวอยู่ได้แก่ การแสดงพฤติกรรม เพื่อให้ สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริง

2. จิตกึ่งสำนึก (Subconscious mind) หมายถึงภาวะจิตที่ระลึกถึงได้ รองศาสตราจารย์ กลมรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2528 : 35)ได้กล่าวถึง Subconscious mind ว่าหมายถึงส่วนของจิตใจ ที่มิได้แสดงออกเป็นพฤติกรรม ในขณะนั้น แต่ เป็นส่วนที่รู้ตัว สามารถดึงออกมใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ เช่น นางสาว ก. มีน้องสาวคือนางสาว ข. ซึ่งกำลังตกหลุมรัก นาย ค. แต่นางสาว ข. เกรงว่ามารดาจะทราบความจริงจึงบอกพี่สาว มิให้เล่าให้มารดาฟัง นางสาว ก. เก็บเรื่องนี้ไว้เป็น ความลับ มิได้แพร่งพรายให้ผู้ใดทราบโดยเฉพาะมารดาแต่ ในขณะเดียวกันก็ทราบอยู่ตลอดเวลาว่า นางสาว ข. รักนาย ค. ถ้าเขาต้องการเปิดเผย เขาก็จะบอกได้ทันที ลักขณา สริวัฒน์ (2530 : 9) กล่าวถึง Subconscious mind ว่าผลมันเกิด จากการขัดแย้งกันระหว่าง พฤติกรรมภายใต้อิทธิพลจิตรู้สำนึกกับอิทธิพลของ จิตใต้สำนึกย่อมก่อให้เกิดการหลอกลวงตัวเองขึ้น ภายในบุคคล

3. จิตไร้สำนึกหรือจิตใต้สำนึก (Unconscious mind) หมายถึงภาวะจิตที่ไม่อยู่ในภาวะที่รู้ตัวระลึกถึงไม่ได้ กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2524 : 121) กล่าวว่า จิตไร้สำนึกเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ มีการเก็บกด (Repression) เอาไว้อาจเป็นเพราะ ถูกบังคับ หรือไม่สามารถแสดงอาการโต้ตอบได้ในขณะนั้นในที่สุดก็จะฝังแน่นเข้าไป จนเจ้าตัวลืมไปชั่ว ขณะจะแสดงออกมาในลักษณะการพลั้งเผลอ เช่น พลั้งปากเอ่ยชื่อ คนรักเก่าต่อหน้า คนรักใหม่ เป็นต้น

คณาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (2530 : 16) กล่าวว่าสิ่งที่มีอิทธิพล จูงใจพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตของคนเรามากที่สุดก็คือ ส่วนที่เป็นจิตใต้สำนึกและสิ่งที่คนเรามัก จะเก็บกดลงไปที่จิตใต้ สำนึก ก็คือความต้องการก้าวร้าว กับความต้องการทางเพศ ซึ่งจะมีแรงผลักดัน

นอกจากนี้ ฟรอยด์ ยังได้ศึกษาถึงโครงสร้างทางจิตพบว่าโครงสร้างทางจิตประกอบด้วย

1. อิด (Id)

2. อีโก้ (Ego)

3. ซุปเปอร์อีโก้ (Superrgo)

1. อิด (Id) หมายถึงตัณหาหรือความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เป็นสิ่งที่ยังไม่ได้ขัดเกลา ซึ่งทำให้ มนุษย์ทำทุกอย่างเพื่อความพึงพอใจของตนเองหรือทำตามหลักของความพอใจ (Pleasure principle)

เปรียบเหมือนสันดานดิบของ มนุษย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น สัญชาติญาณ แห่งการมีชีวิต (Life instinct) เช่น ความต้องการอาหาร ความต้องการทางเพศ ความต้องการหลีกหนีจากอันตราย กับสัญชาติญาณแห่ง ความตาย (Death instinct) เช่น ความก้าวร้าว หรือการทำอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น เป็นต้น บุคคล จะแสดงพฤติกรรมตามความพอใจ ของเขาเป็นใหญ่ ไม่คำนึงถึงค่านิยมของสังคม และ ความพอใจของ บุคคลอื่นจึงมักเป็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามครรลองของมาตรฐานในสังคม บุคคลที่มีบุคลิกภาพเช่นนี้ มักได้รับการประนามว่ามีบุคลิกภาพไม่ดี หรือไม่เหมาะสม

2. อีโก้ (Ego) หมายถึง ส่วนที่ควบคุมพฤติกรรมที่เกิดจากความต้องการของ Id โดยอาศัยกฏเกณฑ์ ทางสังคม และหลักแห่งความจริง (Reality principle) มาช่วยในการตัดสินใจ ไม่ใช่แสดงออกตามความพอใจของตนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องคิดแสดงออกอย่างมีเหตุผลด้วยนั่นคือบุคคลจะแสดงพฤติกรรม โดยมีเหตุและผล ที่เหมาะสมกับกาละเทศะใน สังคม จึงเป็นบุคลิกภาพที่ได้รับการยอมรับมากในสังคม ในคนปรกติที่สามารถปรับตัวอยู่ได้ในสังคมอย่างมีความสุข ฟรอยด์ เชื่อว่าเป็นเพราะมีโครงสร้าง ส่วนนี้แข็งแรง

3. ซุปเปอร์อีโก้ (Superego) หมายถึงมโนธรรมหรือจิตส่วนที่ได้รับการพัฒนาจากประสบการณ์ การอบรมสั่งสอน โดยอาศัยหลักของศีลธรรมจรรยา ขนบธรรมเนียมประเพณี และค่านิยมต่าง ๆ ใน สังคมนั้น Superego จะเป็นตัวบังคับ และควบคุมความคิดให้แสดงออกในลักษณะที่เป็นสมาชิกที่ดีของ สังคม โดยยึดหลักค่านิยมของสังคม (Value principle)ที่ตัดสินว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีในสังคมกล่าวคือบุคคล จะแสดงพฤติกรรมตาม ขอบเขตที่สังคมวางไว้ แต่บางครั้งอาจไม่เหมาะ สม เช่น เมื่อถูกยุงกัดเต็มแขน - ขา ก็ไม่ยอมตบยุง เพราะกลัวบาป หรือสงสารคนขอทานให้เงินเขาไปจนหมด ในขณะที่ ตนเองหิวข้าวไม่มีเงินจะ ซื้ออาหารกินก็ยอมทนหิว เป็นต้น

กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2524 : 122 - 123) กล่าวว่าใครก็ตามที่มีบุคลิกภาพ เช่นนี้มักได้รับการยกย่อง ทั้งนี้เพราะบางครั้งพฤติกรรมที่แสดงออกนั้นอาจเกิดความไม่พอใจในตนเอง แต่เพื่อ ต้องการให้เป็นที่ ยอมรับในสังคม ดังนั้นแม้เขาแสดงพฤติกรรมบาง อย่างที่ขัดต่อ ค่านิยมของสังคม เขาจะเกิดความรู้สึกผิด (Guilt feeling or Guilty) ทันทีถ้าไม่มีการ ระบายออกเก็บกดไว้ มาก ๆ อาจระเบิดออกมากลายเป็นโรค ผิดปรกติทางจิตได้

ฟรอยด์ กล่าวว่าในบุคคลทั่วไปมักมีโครงสร้างทั้ง 3 ส่วนนี้แต่ส่วนที่แข็งแรงที่สุด มักเป็นอีโก้ ซึ่งทำหน้าที่คอย ประนีประนอมระหว่างอิดและซุปเปอร์อีโก้ให้แสดงออกตามความ เหมาะสมของสถานการณ์ ในขณะนั้น เช่น คอยกดอิดมิ ให้แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมา เมื่อยังไม่ถึงเวลาหรือคอยดึงซุปเปอร์ อีโก้ไว้มิให้แสดงพฤติกรรมที่ดีงามจนเกินไป จนตนเอง เดือดร้อน ถ้าคนที่มีจิตผิดปรกติ เช่นเป็นโรคจิต โรคประสาท คือคนที่อีโก้แตก (Break down) ไม่สามารถคุม อิดและซุปเปอร์อีโก้ไว้ได้ มักจะมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับกาละเทศะกับเหตุผล เช่น เกิดอาการคุ้มดีคุ้มร้าย คุ้มดีคือส่วนของซุปเปอร์ อีโก้แสดงออกมา คุ้มร้ายคือส่วนของอิดแสดงออกมา ฯลฯ

ดร. อารี รังสินันท์ (2530 : 15 - 16) กล่าวว่าโครงสร้างจิต 3 ระบบนี้มีส่วนสัมพันธ์กัน ถ้าทำงาน สัมพันธ์กันดีการแสดงออกหรือบุคลิกภาพก็เหมาะสมกับตน แต่ถ้าโครงสร้างทั้ง 3 ระบบ ทำหน้าที่ขัดแย้งกัน บุคคลก็จะมีพฤติกรรมหรือ บุคลิกภาพที่ไม่ราบรื่นปกติ หรือไม่เหมาะสม แนวความคิดกลุ่มนี้เน้น จิตไร้สำนึก (Unconscious mind) จิตไร้สำนึกนี้จะ รวบรวมความคิด ความต้องการ และประสบการณ์ที่ผู้เป็นเจ้าของ จิตไม่ต้องการจะจดจำ จึงเก็บกดความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านี้ไว้อยู่ในจิตส่วนนี้ และหากความคิด ความต้องการหรือ เกิดพฤติกรรมบางอย่างโดยไม่รู้ตัว

อนึ่ง ประสบการณ์ในชีวิตวัยเด็ก โดยเฉพาะช่วงแรกเกิดถึง 5 ขวบที่เกี่ยวกับการอบรม เลี้ยงดู ที่ได้รับ จะฝังแน่น อยู่ในจิตไร้สำนึก และอาจจะแสดงออกเมื่อถูกกระตุ้น โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่

ฟรอยด์ บอกว่า จิตไร้สำนึกเป็นสาเหตุให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมและพฤติกรรม ที่ฝังแน่นในอดีต เป็นเหตุให้แสดง พฤติกรรมออกมาในปัจจุบันและอนาคต อนึ่ง พฤติกรรม ทั้งหลายที่แสดงออกมานั้น ท้ายที่สุดก็เพื่อตอบสนองความต้อง การทางเพศ (Sexual need) นั่นเอง

ฟรอยด์ เน้นประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กมาก โดยเฉพาะในช่วงชีวิตตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ขวบ ประสบการณ์ต่างๆที่เด็กได้รับในช่วงนี้ โดยเฉพาะสิ่งที่ประทับใจ วิธีการอบรม เลี้ยงดู มักจะฝังแน่นอยู่ ในจิตไร้สำนึก และจะแสดงออกมาเป็น พฤติกรรมในช่วงชีวิต ที่เป็นผู้ใหญ่ต่อมาซึ่งค้านกับความเห็นของนัก จิตวิทยากลุ่มอื่นหรือนักการศึกษา ที่เชื่อว่าไม่มีผู้ใด จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ในช่วงชีวิตตั้งแต่ 5 ขวบลงไปจนถึงแรกเกิดได้ แต่ฟรอยด์บอกว่า สิ่งเหล่านี้มิได้หาย ไปไหนแต่กลับฝังลึกลงไป ในส่วนของจิด ที่เรียกว่า จิตไร้สำนึก (กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์. 2528 : 36)

พัฒนาการของมนุษย์ 5 ขั้น ของฟรอยด์

ผ.ศ. ดร. อารี รังสินันท์ (2530 : 15 - 16) ได้กล่าวถึงการแบ่งขั้นพัฒนาการของมนุษย์ของฟรอยด์ว่าแบ่งเป็น 5 ขั้น คือ

1. ขั้นปาก (Oral Stage) อายุตั้งแต่แรกเกิด - 2 ขวบ

2. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage) อายุ 2 - 3 ขวบ

3. ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage) อายุ 3 - 5 ขวบ

4. ขั้นแฝง (Latent Stage) อายุ 6 - 12 ขวบ

5. ขั้นวัยรุ่น (Genital Stage) อายุ 13 - 18 ขวบ

รองศาสตราจารย์ กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2528 : 37 - 39) ได้กล่าวถึงการแบ่งพัฒนาการของมนุษย์ของฟรอยด์ว่า ฟรอยด์ได้แบ่งพัฒนาการของมนุษย์ แตกต่างจากนักจิตวิทยาท่านอื่นกล่าวคือ ฟรอยด์ เชื่อว่า มนุษย์มีอวัยวะที่ไวต่อ ความรู้สึกในแต่ละช่วงชีวิตแตกต่างกัน ซึ่งฟรอยด์เรียกว่าอีโรจีนัสโซน (Erogenus zone) จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการตามอวัยวะที่ไวต่อความรู้สึกออกเป็น 5 ขั้น และได้กล่าวถึงแต่ละขั้นไว้ ดังนี้

1. ขั้นปาก (Oral Stage) ขั้นนี้เด็กต้องการการตอบสนองทางปากมากที่สุดเนื่องจากปากเป็นอวัยวะที่ไวต่อความรู้สึกมากที่สุดในช่วงชีวิตนี้ ความสุขความพอใจของเด็กอยู่ที่การได้รับการตอบสนองทางปาก เช่น การดูดนม การสัมผัสสิ่งแปลกใหม่ด้วยปาก ฯลฯ ถ้าเด็กได้รับการตอบสนองเต็มที่ เมื่อโตขึ้นจะมีบุคลิกภาพที่เหมาะสมไม่พยายามใช้ปากมากเกิน ไป รู้จักพูดหรือใช้ปากได้เหมาะกับกาละเทศะ หากเด็กได้รับการขัดขวางต่อการตอบสนองทางปากในวัยนี้ เช่น การหย่านมเร็วเกินไป ถูกตีเมื่อนำของเข้าปากทำให้เด็กรู้สึกกระวนกระวายและเรียกร้องที่จะชดเชยการตอบสนองทางปากนั้น เมื่อ มีโอกาส เรียกว่าเกิดการหยุดยั้งพัฒนาการทางปาก (Oral Fixation) เมื่อมีโอกาสหรือโตเป็นผู้ใหญ่มักมีบุคลิกภาพที่ชอบใช้ ปาก เช่น ชอบนินทาว่าร้าย ชอบสูบบุหรี่ รับประทางอาหารบ่อย ๆ เกินความจำเป็น เป็นต้น

2. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage) ขั้นนี้ เด็กต้องการตอบสนองทางทวารหนักมากที่สุดมากกว่าทางปาก เช่น พัฒนาการขั้นแรกเด็กวัยนี้จึงไม่ชอบรับประทานมากเท่ากับการเล่น โดยเฉพาะการเล่นที่สัมผัสทางทวารหนัก ตลอดจนความสุขในการขับถ่ายซึ่งตรงกับการฝึกหัดขับถ่าย (Toilet Training) ของเด็กวัยนี้ถ้าผู้ใหญ่ที่เข้าใจจะรู้จักผ่อนปรน ค่อย ๆ ฝึกเด็กให้รู้จักขับถ่ายได้ด้วยวิธีที่นุ่มนวล การพัฒนาการขั้นนี้ก็ไม่มีปัญหาเด็กโตขึ้นจะมีบุคลิกภาพที่เหมาะสม แต่ถ้าเกิดการหยุดยั้งพัฒนาการขั้นนี้ (Anal Fixation) เนื่องจากผู้ใหญ่บังคับเด็กในการฝึกหัดขับถ่ายมากเกินไป เช่น ต้องขับถ่ายเป็นเวลา ถ้าไม่ทำตามจะถูกลงโทษจะทำให้เกิดความไม่พอใจฝังแน่นเข้าไปสู่จิตไร้สำนึกโดยไม่รู้ตัวและแสดงพฤติกรรมออกมาให้เห็นชัด 2 ลักษณะที่ตรงกันข้าม คือ อาจจะมีลักษณะใดลักษณะหนึ่งแล้วแต่ความเข้มทางบุคลิกภาพของเด็ก นั้นๆ คือ

ก. บุคลิกภาพแบบสมบูรณ์ (Perfectionist) คือเป็นคนเจ้าระเบียบ จู้จี้ ย้ำคิดย้ำทำ กังวลมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องความสะอาด ลักษณะนี้มักเกิดกับเด็กที่มีบุคลิกภาพอ่อนแอ

ข. บุคลิกภาพแบบอันธพาล (Anti social) คือเป็นคนไม่ยอมคนชอบคัดค้านค่านิยมหรือระเบียบแบบแผนที่วางไว้ ลักษณะนี้มักเกิดกับเด็กที่มีบุคลิกภาพเข้มแข็งนอกจากนี้ยังพบว่า คนที่มี Anal Fixation นี้ยังเป็นนักสะสมสิ่งของต่าง ๆ ตลอดจนมีพฤติกรรมอ่านหนังสือพิมพ์บนโถส้วมนานๆ ชอบนั่งที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ ด้วย

3. ขั้นอวัยวะเพศ หรือขั้นความรู้สึกทางเพศแบบแฝง (Phallic Stage)ขั้นนี้ เด็กเริ่มเกิดความรู้สึกทางเพศแต่เป็นแบบแฝง กล่าวคือมิได้หมายความว่าเด็กวัยนี้เกิดความรู้สึกทางเพศโดยตรงได้แก่ อยากมีคู่ครองแต่หมายถึงความรู้สึก ผูกพัน ที่เกิดขึ้นต่อบิดามารดาที่มีเพศตรงข้ามกับเด็ก เช่นเด็กหญิงรักและติดพ่อ หวงแหนพ่อแทนแม่ ฟรอยด์อธิบายว่าในขณะเดียวกัน เด็กจะรู้สึกอิจฉาแม่ เพราะเรียนรู้ว่า พ่อรักแม่ เกิดปมอิจฉา (Oedipus Complex) ขึ้นเห็นแม่เป็นคู่แข่งและพยายามเลียนแบบพฤติกรรมของแม่ ซึ่งเป็นแบบฉบับของสตรีเพศ ทำให้เด็กหญิง มีลักษณะเป็นหญิงเมื่อโตขึ้น ในทำนองเดียวกัน เด็กชายก็จะรักและติดแม่หวงแหนและเป็นห่วงแม่ ฟรอยด์อธิบายว่าเด็กชายจะรู้สึกอิจฉาพ่อ เพราะเรียนรู้ว่าแม่รักพ่อ เกิดปมอิจฉา (Oedipus Complax) พ่อ เห็นพ่อเป็นคู่แข่ง พยายามเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อ ซึ่งเป็นแบบฉบับของบุรุษเพศ ทำให้เด็กชายมีลักษณะเป็นชายอย่างสมบูรณ์เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้น Oedipus Complax จึงเป็นสิ่งที่ดีเพราะจะส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการได้เหมาะสมกับเพศของเขา ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ เป็นการพัฒนาการเป็นไปตามลำดับขั้นอย่างดียิ่งแต่ถ้าเกิดการหยุดยั้งพัฒนาการของ ขั้นนี้ (Phallic Fixation) จะเกิดพฤติกรรมดังนี้ เด็กหญิงขณะที่เลียนแบบแม่ ซึ่งเป็นแบบฉบับถ้าแม่เป็นแบบฉบับไม่ดี เด็กไม่ศรัทธาในที่สุดเด็กก็จะหันไปเลียน แบบพ่อ เนื่องจากมีความนิยมศรัทธาอยู่เป็นทุนเดิมแล้วพฤติกรรมที่ปรากฏก็คือ เด็กผู้หญิงเป็นลักเพศ (Lesbian) คือมี พฤติกรรมและความรู้สึกเยี่ยงชายในทำนองเดียวกัน เด็กชายขณะที่เลียนแบบพ่อซึ่งเป็นแบบฉบับ ถ้าพ่อเป็นแบบฉบับไม่ดี เด็กไม่ศรัทธาในที่สุดเด็กก็จะหันไปเลียนแบบแม่โดยตรง เพราะรักและศรัทธาแม่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วพฤติกรรมที่ปรากฏก็คือ เด็กชายเป็นลักเพศ (Homosexual)

4. ขั้นแฝง (Latent Stage) เป็นระยะก่อนที่เด็กจะเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยรุ่น กิติกร มีทรัพย์ (2530 : 70 - 71) กล่าวถึงเด็กวัยรุ่นซ่อนเร้นหรือลาเทนซี่ (Latency) ว่า การเติบโตทางกาย ค่อย ๆ ช้าลง แต่การเติบโตทางจิตใจ (Memtal awarenss) ไปเร็วมาก เด็ก ๆ มักถูกมองว่า "แสนรู้" หรือ "แก่แดด" เด็กจะรู้จักพิพากษ์วิจารณ์สนใจไปในทางค้นหา ค้น คว้าต่าง ๆ สนใจสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่มิได้ขาดเด็กบางคนอาจพูดในสิ่งที่แหลมคมที่ทำให้ผู้ใหญ่คิดและน่าทึ่ง หรือพูดอะไรเชยๆ นักจิตวิทยาชาวสวีเดนผู้หนึ่ง ชื่อ เดวิด บียอร์กลุนด์ เป็นศาสตราจารย์ วิชาจิตวิทยามหาวิทยาลัยฟลอริดา ใน อเมริกากล่าวว่า เมื่อเด็กวัย Latency มีความคิดใคร่ครวญ ผู้ใหญ่ ไม่ควรละเลย ดูด้วยที่จะให้เด็กได้คิดเรื่องหนัก ๆ บ้างตามความสนใจของเขาตั้งแต่การวางแผนงานบ้าน การบ้าน หรือสร้างวินัยในบ้านให้เขาได้มีโอกาส รับรู้หรือมีส่วนร่วมกับ ปัญหารายรับ - รายจ่ายในครัวเรือน ปัญหาคณิตศาสตร์ ง่าย ๆ หรือปัญหาประสบการณ์ ชีวิตบางประการซึ่งผู้ใหญ่เคยคิดว่าเขาไม่รู้ หรือไม่ควรรู้

5. ขั้นวัยรุ่น (Genital Stage) เด็กหญิงจะเริ่มสนใจเด็กชายและเด็กชายจะเริ่มสนใจเด็กหญิง เป็นระยะที่เด็ก จะมีความสัมพันธ์ระหว่างเพศอย่างแท้จริงพฤติกรรมทางเพศของบุคคลในวัยนี้ จึงมีลักษณะที่บ่งถึงวุฒิภาวะทาง อารมณ์หรือความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างเต็มที่พัฒนาการทางเพศที่เกิดขึ้นในระยะนี้ เรียกว่า ขั้นวุฒิภาวะทางเพศอันมิได้หมายถึงอวัยวะเพศอย่างเดียวรวมถึงพฤติกรรมที่แสดงถึงวุฒิภาวะทางด้าน อารมณ์และสติปัญญาเด็กชายจะเปลี่ยนจากการหลงรักแม่ตนเองไปและเด็กหญิงก็จะหันจากหลงรักพ่อไปรักเพศ ชายทั่วไป