This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

คนมีเสน่ห์

คนมีเสน่ห์








ผมเคยฝันอยากที่จะเกิดมาเป็นคนมีเสน่ห์ แต่บัดนี้จนแก่แล้วยังทำไม่ได้สักที จนกระทั่งได้มาอ่านบทความของอาจารย์ระเด่น ทักษณา ซึ่งเคยสอนผม แอบเป็นลูกศิษย์ของท่านเงียบๆ เสมอมา จึงนำเรื่องของเสน่ห์มาเล่าให้ฟังต่อ เพราะเห็นว่ามันคล้ายกับธรรมะปฏิบัติของพระพุทธเจ้ามาก คือ มาดต้องตา วาจาต้องใจ ภายในต้องเยี่ยม และเบ็ดเตล็ดอื่นๆ มาดต้องตานั้นมีส่วนทำให้เกิดเสน่ห์ทางตา ถึง 83% (ส่วนวาจาต้องใจ คือ ฟังด้วยหูแล้วเกิดเสน่ห์ เพียง 11% เท่านั้น)






มาดต้องตา 10 ประการมีดังนี้


1. มีนิสัยสดชื่นร่าเริงอยู่เสมอ การยิ้มแย้ม แจ่มใสกับผู้คนทำด้วยความจริงใจ ออกมาจากใจ


2. ชอบยกมือไหว้คนด้วยความนอบน้อม ลักษณะที่งดงาม สบตาทุกครั้งที่ไหว้ ศีรษะค้อม มือชิดอก และใจเคารพ


3. เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนกับทุกคน โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่แสดงอำนาจ วางท่าเย่อหยิ่ง เหนือผู้อื่น


4. เมื่อได้พบกับคนอื่นที่รู้จักกันแล้ว หรือครั้งแรกก็ตาม ควรจะแสดงความกระตือรือร้น ยินดีที่ได้พบ ที่ได้รู้จักกัน รีบลุกขึ้นยืนทักทายทันที


5. คนมีเสน่ห์ ไม่รู้สึกเสียเกียรติ ที่จะกล่าวคำขอโทษ หรือขอบคุณใครก็ตาม ตั้งแต่คนงาน คนรถ คนใช้ไปถึงระดับผู้ใหญ่ที่มีเกียรติ


6. คนมีเสน่ห์ จะมีความสง่างาม รู้จักวางตัวเหมาะสม เคลื่อนไหวช้าเกินไป ไม่เร็วจนลุกลี้ลุกลนเกินไป เมื่อเล่นก็เล่น เมื่อทำงานก็ทำงาน


7. แต่งกายให้ถูกกับกาลเทศะ ไม่แต่งตามใจเราเอง แต่แต่งตามสภาพของงานที่จะไป และสังคมสิ่งแวดล้อมที่กำลังมีงานอยู่


8. ถ้าหากงานที่จะไปนั้น เป็นงานใหญ่ของเจ้าภาพที่มีเกียรติยศและตำแหน่ง หน้าที่การงานสูง เราไม่สามารถแต่งกายให้สมเกียรติได้ก็อย่าไปดีกว่าเพราะว่า จะทำให้เจ้าภาพเขาเสียหน้า และกระอักกระอ่วนใจ


9. ในงานพิธีต่างๆ เมื่อเราได้รับเชิญให้ลุกขึ้นยืนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าชุมชน ควรจะกลัดกระดุม ให้เรียบร้อยทุกๆ เม็ด รวมทั้งสูทด้วย


10. คนมีเสน่ห์ เมื่อไปงานพิธีใหญ่ ต้องแต่งกายรัดกุม ถูกกาลเทศะไม่พกของตุงกระเป๋า เช่นโทรศัพท์มือถือหรือสะพายกล้องรุงรัง






วาจาต้องใจ


11. คนมีเสน่ห์ เมื่อพูดกับใคร หรือมีใครพูดด้วยต้องให้ความสนใจ 100% ด้วยอาการใจจดใจจ่อ และฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แม้เรื่องนั้นเราจะเคยฟังมาหลายครั้งแล้วก็ตาม


12. เราต้องพูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง จะไม่พูดในสิ่งที่เราอยากพูด โดยพยายามถามตนเองทุกครั้ง ก่อนจะพูดว่าเราควรจะพูดออกไปไหม


13. ให้พยายามพูดในภาษาของคนฟัง ไม่ใช่พยายามพูดในภาษาของคนพูด เพราะเมื่อพูดแล้วคนฟังน่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ


14. คนมีเสน่ห์ ควรแบ่งบทพระเอกให้คนอื่นเป็นบ้าง อย่าถือว่าเก่งคนเดียว เป็นเจ้านายคนเดียว เป็นหัวหน้าคนเดียว แบ่งให้คนอื่นบ้าง


15. ต้องไม่ยกตนข่มท่าน หลีกเลี่ยงในการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นว่าไม่ดี เราดีอยู่คนเดียว รังแต่จะสร้างศัตรู เร่งแก้ไขความบกพร่องของตัวเองจะดีกว่า


16. คนมีเสน่ห์ไม่พูดถึงความยากของตนเอง หรือบ่นแต่ความทุกข์ของตนเอง ให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะปัญหาหนักอกหนักใจ นอกจากเขาช่วยเราไม่ได้แล้ว เขาอาจจะนึกดูถูกเราด้วยซ้ำไปในความโง่ของเรา


17. อย่าพูดถึงความร่ำรวย มีเงินทองของตนเองเพราะว่าถึงเราจะรวยแต่เราก็คงไม่ยอม ไปแจกเงินเขาหรือให้ใครยืม เขาจะหมั่นไส้เอาเปล่าๆ


18.คนมีเสน่ห์ ย่อมจะไม่พูดถึงความเลวร้าย ความไม่ดีของคนในครอบครัว ลูกเมียของเรา ยกเว้นจะถูกคะยั้นคะยอเท่านั้น


19. คนมีเสน่ห์จะเป็นคนมีอารมณ์ขัน มีศิลปะในการเล่าเรื่องตลกบ้างเป็นครั้งคราว มีอารมณ์ขันสร้างบรรยากาศ ให้ครื้นเครงตามแต่กาลเทศะ แต่ไม่พร่ำเพรื่อจนกลายเป็นตัวตลกไป


20. ต้องไม่แสดงความรังเกียจ จนออกนอกหน้าเมื่อได้ยินเรื่องที่ไม่ถูก ไม่ว่าจะเรื่อง DIRTY JOXES ก็ตาม






ภายในต้องเยี่ยม


21. คนมีเสน่ห์ต้องมีน้ำใจ เอื้ออาทรต่อคนรอบข้าง "เงินยิ่งใช้ยิ่งหมด แต่น้ำใจยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม" ควรมีน้ำใจในเป็นทุกเรื่อง


22. คนมีเสน่ห์ย่อมทำตัวเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ เพราะว่าผู้ให้ย่อมมีความสุขมากกว่า การไปรับของจากผู้อื่น


23. เป็นคนมีความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี สังคมเคารพยกย่อง คนที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณมาก


24. คนมีเสน่ห์ ย่อมมีความเสมอต้นเสมอปลายไม่ว่าตกทุกข์ได้ยาก ตกงาน ว่างงาน หรือจะร่ำรวยมีฐานะดีก็ตาม


25. คนมีเสน่ห์จะเอาหลักศาสนาที่ตนนับถือ มาเป็นหลักปฏิบัติ ชาวพุทธจะปฏิบัติตนตามธรรมะ คือ ศีล 5 พรหมวิหาร 4 และเมตตาธรรม


26. การทำความดี เราถือว่าเป็นความสุข ไม่ใช่เพราะรอให้คนมาเห็นเราทำความดี จึงจะมีความสุข การทำความดีโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจะทำให้จิตใจเบิกบาน


27. เมื่อมีคนติติง ก็อย่าโกรธ เพราะว่าคำตินั้นมีประโยชน์ในการก่อมากกว่าคำชม ซึ่งจะทำลายและทำให้เหลิงและเสียคน


28. คนมีเสน่ห์จะแสดงความเคารพนับถือ ครูบาอาจารย์ วิทยากร ถึงแม้จะมีอายุน้อยกว่าก็ตาม ถ้าเราคิดว่าเราโง่ เราก็จะมีโอกาสเป็นคนฉลาด แต่ถ้าหากว่าเราคิดว่าเราเป็นคนฉลาดเราจะเป็นคนโง่ที่แท้จริง


29. ให้ความสนใจกับคำเชิญไปงานต่างๆ เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เรารักและเคารพ ถ้าหากเป็นไปไม่ได้จริงๆ ควรจะโทรศัพท์ไปขอโทษ และส่งของขวัญตามไปภายหลัง งานศพนั้นความไปเสมอ


30. คนมีเสน่ห์ ควรให้อภัย ไม่อาฆาตจองเวรคนที่ให้อภัยเป็นทานจะมีใบหน้ารอยยิ้ม อิ่มเอิบ ผุดผ่องเสมอ คนโกรธจะมีใบหน้าบึ้งตึงไร้เสน่ห์






เบ็ดเตล็ด


31. คนมีเสน่ห์ย่อมจดจำวันเกิดของเพื่อน คนที่รู้จัก หรือคนที่สนิทได้ แล้วส่งของขวัญวันเกิด ดอกไม้หรือโทรศัพท์ไปแสดงความยินดี


32. คนมีเสน่ห์ย่อมเตรียมนามบัตรไว้จำนวนหนึ่งให้พอแจกเสมอ เมื่อยื่นนามบัตรให้ยื่นในระดับสายตา ผู้รับอ่านเห็น และควรอ่านชื่อตนเองดังๆ เพื่อเขาจะได้ทราบว่าชื่อของเราอ่านว่าอย่างไร


33. เมื่อมีผู้มอบนามบัตรให้ เราควรจะยกมือขึ้นรับและไหว้ ควรอ่านชื่อในนามบัตรของเขาดังๆ เพื่อให้จดจำชื่อของเขาได้


34. นามบัตรเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อราได้รับนามบัตรอย่าเพิ่งรีบเก็บเข้ากระเป๋า ควรวางบนโต๊ะในที่มองเห็นตลอดเวลา อย่าให้เปื้อน แล้วเก็บไปด้วยเสมอ


35. เมื่อมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วในโต๊ะอาหารหรือนั่งประชุม ควรจะขออนุญาตเมื่อจะเข้าไปนั่งด้วย และกล่าวคำขอโทษก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ อย่าลุกไปเฉย


36. ผู้มีเสน่ห์เมื่อนั่งอยู่ในโต๊ะอาหารหรือที่ประชุมควรยิ้มต้อนรับหรือกล่าวคำทักทาย ผู้มาใหม่เสมอ หรือผู้ที่จะลุกออกไปจากโต๊ะ


37. เมื่อนั่งโต๊ะอาหาร ควรคลี่ผ้ากันเปื้อนไว้เป็นรูปสามเหลี่ยมบนตัก อย่าใช้ผ้ากันเปื้อนเช็ดปาก เช็ดหน้า เช็ดมือเป็นอันขาด และเมื่อลุกจากโต๊ะควรพับผ้ากันเปื้อนแล้ววางเอาไว้บนโต๊ะ


38. เมื่อรับประทานอาหารเสร็จควรรวบช้อนส้อมเข้าด้วยกัน พนักงานเสิร์ฟจะได้มาเก็บจานไป แต่ถ้ายังรับประทานไม่เสร็จ ให้วางช้อนและส้อมเป็นรูปตัววี


39. คนมีเสน่ห์ เมื่อตักอาหารบุฟเฟ่ต์ ควรตักกับข้าวอย่างเดียว อย่าตักทุกอย่างรวมกันจนล้นจาน เหมือนคนตายอด ตายอยาก เมื่อไม่พอกินก็ตักมาใหม่


40. เมื่ออาหารติดฟัน ไม่ควรที่จะใช้มือแคะอาหารออกจากปาก อาจจะใช้มือป้องแล้วแคะฟัน แต่ที่ดีที่สุดควรจะลุกไปทำในห้องน้ำจะดีกว่า


41. คนมีเสน่ห์เมื่อไปงานเต้นรำ ควรจะหาคู่เต้นไปเอง ไม่ควรไปล่าหาเหยื่อ ถ้าหากจะไปขอสุภาพสตรีอื่นในโต๊ะ ควรจะขออนุญาตสุภาพบุรุษในโต๊ะเสียก่อน และเมื่อเต้นเสร็จแล้ว ควรพามาส่งคืนที่โต๊ะพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ


42. คนมีเสน่ห์ เวลาเล่นกอล์ฟ เขาจะไม่พูดคุยหรือแสดงอาการรบกวนคนที่กำลังพัทท์กอล์ฟ และเมื่อเขาพัทท์ลูกกอล์ฟลงหลุม ควรจะแสดงความยินดีอย่างจริงใจ


43. เมื่อถูกเชิญขึ้นไปร้องเพลง ต่อหน้าคนมากๆ ควรจะขึ้นไปร้องเพลงเฉพาะเพลงที่ตนถนัด และแน่ใจเท่านั้น ถ้าหากร้องไม่ได้จริงๆ ควรจะปฏิเสธดีกว่าขึ้นไปเสียหน้าบนเวที


44. คนมีเสน่ห์ เมื่อเจ็บป่วย เวลาไอหรือจาม ในที่ชุมนุมชนควรจะใช้ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากจมูกเสมอ ถ้าเลี่ยงได้ ควรเลี่ยงออกมาภายนอก


45. เมื่อไปเยี่ยมคนป่วย ควรเลือกของเยี่ยมที่เหมาะสมกับคนป่วยและภาวะของโรค เช่น ของกิน ของใช้ ดอกไม้ หรือหนังสือที่เหมาะกับคนไข้


46. ผู้มีเสน่ห์ย่อมไม่ขับรถปาดหน้าผู้อื่น ไม่บีบแตรไล่ ไม่เปิดไฟไล่หลัง และไม่แย่งที่จอด เมื่อมีผู้อื่นกำลังรออยู่ก่อนเรา


47. คนมีเสน่ห์ ย่อมเป็นคนตรงต่อเวลา ให้ความสำคัญกับการนัดหมายทุกครั้ง ไม่ควรอ้างว่า นาฬิกาปลุกเสีย รถติด เพราะว่าเชยหมดสมัยแล้ว






จากตัวอย่างของ คนมีเสน่ห์ที่เขียนมาเพียงน้อยนิด ยังมีเสน่ห์อีกมากมาย ที่เราจะสร้างขึ้นมาได้ เพราะว่าเสน่ห์ไม่ใช่ของที่ได้มาแต่เกิด เป็นมารยาทสังคมที่เราต้องเรียนรู้ และสร้างนิสัยขึ้นมา เหมือนในโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท เราจะมีการฝึกอบรมเสน่ห์มารยาท การยิ้ม พนักงานอย่างต่อเนื่อง เมื่อคนป่วยจะป่วยทั้งกายและใจ การต้อนรับของผู้ให้บริการ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดความประทับใจ เหมือนธรรมะทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดเสน่ห์ และเป็นที่รักของคนทั่วไป

เข้าใจผู้หญิง

เข้าใจผู้หญิง


เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก... บางอย่างยากที่จะเอ่ยจากปากให้ชายรู้ มีคนชอบกล่าวว่า ผู้หญิงมีหลายหน้า บางเวลาอาจเป็นเทพธิดา แต่บางเวลาอาจกลายเป็นนางมารร้ายขึ้นมา โดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งพระอุมาเทวี บางเวลายังอาจกลายเป็นนางกาลีไป ก็ได้ แต่นั่น ก็เป็นเพียงแค่คำร่ำลือ หรือเรื่องราวที่พูดกันต่อๆ มาเท่านั้น ไม่ได้มีข้อมูลหรือข้อเท็จจริงใดๆมาพิสูจน์ ขณะเดียวกันก็ไม่ค่อยจะมีหลักฐานอะไรมาหักล้าง ความเชื่อเหล่านั้นเช่นกัน ตราบใดที่โลกเรายังคงดำรงอยู่ ไม่หยุดหมุน โลกเราก็ยังคงมีความรักระหว่างหนุ่มและสาว แม้ว่าจะน้อยลงทุกวัน เนื่องจากหลายคนเริ่มหันไปรักเพศเดียวกันเพราะเข้าใจกันมากกว่า แต่ความรักระหว่างผู้ชายและผู้หญิงก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป และจำต้องมีความเข้าใจในกันและกันมากขึ้น และมากขึ้น เพราะความรักที่แท้จริงก็คือ การเข้าใจและให้อภัยในความผิดพลาดของกันและกัน รวมทั้งการพยายามปรับตัวเข้าหากันด้วย การเรียนรู้ซึ่งกันและกันจึงเป็นพื้นฐาน ของการใช้ชีวิตคู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้กระทั่งในตำราพิชัยสงครามของซุนวู ยังว่าไว้ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งมาเริ่มเรียนรู้คุณผู้หญิงกันดูบ้างจะดีไหมครับ !! เริ่มจากกำจัดความเข้าใจผิดที่มีต่อกันและกันก่อน...ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง
 ผู้หญิงพอใจอะไรยาก ?
ผู้ชายมักจะชอบพูดถึงผู้หญิงในแง่นี้เสมอๆว่า เข้าใจยาก พอใจอะไรยาก ชอบเปลี่ยนใจง่าย บางคนถึงกับบอกว่า พวกเธอเปลี่ยนใจทุกวินาที วินาทีละหลายร้อยครั้ง ซึ่งน่าจะไม่เป็นจริง ที่จริงแล้ว ผู้หญิงมักจะพอใจอะไรที่ดีกว่า และอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่าเดิม ของคนที่พวกเธอรัก ไม่ว่าจะเป็นสามี หรือลูกๆ เธอจึงดูเหมือนชอบ ขี้บ่น ติโน่น ติงนี่อยู่ตลอดเวลา... โดยเฉพาะหลังจากตกลงปลงใจว่า จะใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายคนนี้ คนที่เธอรัก เคยสังเกตไหมครับว่า ก่อนแต่งงาน ก่อนใช้ชีวิตคู่ ตอนรักกันใหม่ๆนั้น เธอไม่ค่อยติติงเท่าใด ก็เพราะเธอยังไม่แน่ใจว่าจะรักหรือตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตด้วยหรือไม่ แต่พอเธอแน่ใจแล้ว มั่นใจแล้ว เธอก็จะไม่เปลี่ยนใจรัก เธอจึงอยากให้คนที่เธอรักดีขึ้น... ตอนนั้นแหละเหมือนเธอเอาใจยากขึ้น ที่จริงตอนรักกันก็เอาใจยากอยู่แล้ว !! ...เพราะเธอต้องการอะไรที่ดีกว่าที่คุณเสนอ แต่ถ้าคุณเสนอสิ่งที่ดีที่สุดแก่เธอ... เธอจะรับโดยดี โดยไม่บ่นว่า ดังนั้น ถ้าคุณผู้ชายคนไหนยังคิดว่าแฟนของคุณพอใจอะไรยาก ก็แสดงว่าสิ่งที่คุณทำให้เธอยังไม่ดีพอ หรือไม่ใช่ที่เธอต้องการเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่า เธอเอาใจยากเลย
·      ผู้หญิงมักจะมีอารมณ์เพศยาก ?
จริงอยู่ ที่ผู้หญิงเกิดอารมณ์พิศวาสและไปถึงจุดสุดยอดได้ยาก และใช้เวลายาวนานกว่าผู้ชาย แต่ถ้าคุณผู้ชายเข้าใจเธอสักหน่อย คุณสามารถที่จะทำให้เธอมีอารมณ์พิศวาส และสามารถจะตอบสนองต่อคุณ เพื่อที่จะไปยังจุดหมายปลายทางที่ฝันรวมกันเอาไว้ นั่นก็คือ การให้ความรักแก่เธอให้มากๆ ให้เธอรับรู้ว่า คุณรักเธอคนเดียว ปรารถนาเธอคนเดียว และมีเธอคนเดียวเท่านั้นที่คุณอยากจะแสดงความรัก ด้วยการมีสัมพันธ์สวาทกัน นั่นเป็นสิ่งที่สามารถจุดไฟปรารถนาของเธอให้คุโชนขึ้นง่ายที่สุด ผู้หญิงต้องเกิดความรักก่อน จึงจะเกิดอารมณ์เพศ และมีไฟปรารถนาที่จะร่วมรัก ผู้ชาย เมื่อได้ร่วมรักจนสุขสมแล้ว ก็จะรู้สึกผ่อนคลายหายเครียด แต่ผู้หญิง ต้องรู้สึกผ่อนคลายหายเครียดก่อน จึงอยากจะร่วมรัก ถ้าคุณผู้ชายสามารถทำให้เธอหายเครียดด้วยความรักของคุณที่มีต่อเธออารมณ์ปรารถนาของเธอ ก็จะเกิดขึ้น และร่วมรักกับคุณอย่างเป็นธรรมชาติ จนมีความสุขสมร่วมกันครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย
·      ผู้หญิงไปถึงจุดสุดยอดได้ยาก !
เป็นความจริงที่ผู้หญิงไปถึงดวงดาวได้ยาก และต้องใช้เวลานานมากกว่าผู้ชาย ทั้งนี้ก็เพราะเธอต้องการเวลาในการค่อยๆเพิ่มอารมณ์เพศสักช่วงระยะหนึ่ง ก่อนที่ร่างกายของเธอจะได้รับการกระตุ้น จนไปถึงจุดสุดยอด ผู้หญิงต้องการกระตุ้นจุดสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการกอด สัมผัสลูบไล้ไปยังส่วนต่างๆ ที่ยังไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ปราการด่านสุดท้าย ที่ผู้ชายหวังจะโจมตี จนเมื่อเธอแสดงอาการว่า อยากให้สัมผัสส่วนนี้ของเธอแล้ว คุณค่อยเริ่มกระตุ้น และการกระตุ้นส่วนสงวนของเธอนั้น ก็ต้องใช้เทคนิคเช่นกัน ถ้าคุณจะใช้มือกระตุ้นให้เคลียเคล้าบริเวณข้างๆ ปากทางก่อน ค่อยไล่ลงมายังกลีบเนื้อที่ปิดปากถ้ำสวรรค์ไว้ แล้วค่อยไปยังปุ่มปมประสาทสัมผัสที่เรียกว่าคลิตอริส... อย่านะ อย่าใช้นิ้วมือคุณกดลงไปทันที เพราะจะทำให้เธอเจ็บจนหมดอารมณ์ที่จะเริงรักกับคุณ คุณต้องค่อยๆใช้นิ้วคุณวนๆ รอบๆ ปุ่มสัมผัสดังกล่าวก่อน จนแน่ใจว่าเธอมีอารมณ์มากแล้ว จึงค่อยๆ เน้นตรงจุดอย่างเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขอย้ำนะครับว่า ผู้หญิงนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ชอบอะไรที่สม่ำเสมอ มั่นคงและต่อเนื่อง... รวมทั้งการกระตุ้นให้เธอไปถึงดวงดาวด้วย ผู้หญิง ส่วนใหญ่ไปถึงจุดสุดยอดด้วยท่า "มิชชันนารี" เพราะร่างกายของฝ่ายชาย ที่ทานทับลงไปบนตัวเธอนั้น ทำให้เวลาที่เขาขยับส่วนนั้นของเขาเข้าออกเพื่อการสัมผัสรักกับเธอ ปุ่มคลิตอรัสจะได้รับการเสียดสีกับกระดูกหัวเหน่าของเขาเป็นการกระตุ้น ขณะเดียวกัน ปุ่มดังกล่าวก็จะมีการยืดขึ้นและหดลง ตามจังหวะของการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ ที่เธอและเขาร่วมกันแสดงนั้น แล้วจะทำให้เธอไปถึงดวงดาวได้โดยง่าย
·      ผู้หญิงต้องการเงินมากกว่าความรัก ?
ผู้ชายหลายราย มักจะมีความรู้สึกนึกคิดเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้ว ผู้หญิงหลายคนที่แม้ว่าร่างกายบางส่วนของเธอสามารถจะซื้อหาได้ด้วยเงินตรา แต่เธอก็ยังคงเหลือบางส่วนไว้ให้คนที่เธอรักเสมอ... สงสัยไหมครับ บทสัมภาษณ์ผู้หญิงขายบริการคนหนึ่งบ่งบอกว่า เธอยอมมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบใด แต่เธอไม่ยอมจูบปากอย่างดูดดื่มกับลูกค้าคนใดเลย เธอบอกว่า เธอเก็บจูบที่บริสุทธิ์ของเธอไว้ให้ชายคนที่เธอรักเท่านั้น คนอื่นไม่มีวัน ไม่ว่าจะให้เงินทอง เธอมากน้อยแค่ไหน หรือเธอจะพอใจมากขนาดใด เพราะลูกค้าก็คือลูกค้า ไม่ใช่ชายคนรัก เงิน จึงอาจจะซื้อความรักได้... แต่ไม่ใช่รักแท้ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากได้รักแท้จากผู้หญิง ต้องเอารักแท้ของคุณไปแลกมา จึงจะได้รักแท้จากเธอ
·      ผู้หญิงชอบขี้บ่นจู้จี้จุกจิก
ผู้หญิงจู้จี้และขี้บ่นก็เพราะ คนที่อยู่รอบข้างเธอไม่ได้สนใจในรายละเอียดที่เธออยากจะให้สนใจ เช่น เวลาจะแสดงความรักกัน ถ้าเธอรู้สึกว่า ตัวเองหรือเขาไม่สะอาด เธอก็จะไม่มีอารมณ์ หรืออาจเอ่ยปากบอกให้ทำอย่างโน่นอย่างนี้ก่อน เช่น
·       รอเดี๋ยวนะที่รัก ขอไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยมีอะไรกัน
·       วันนี้ไม่เอา ไม่ให้ใช้ปากทำ ยังไม่ได้อาบน้ำเลย
·       มีเมนส์อยู่ ทำไม่ได้นะ สกปรกจะตาย
·       พรุ่งนี้ไม่ได้ หรือคืนนี้ปวดหัว
นั่นก็คงจะเป็นหนังตัวอย่าง ที่บางครั้งผู้ชายคิดว่าเธอปฏิเสธที่จะมีสัมพันธ์สวาทกัน ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้คิดเลย เพียงแต่ขอให้รอก่อน ขอให้สะอาดก่อนเท่านั้นก็พอแล้ว เข้าใจเธอเสียหน่อย รู้จักหัดทำเป็นไม่เห็นเสียบ้าง ไม่ได้ยินเสียบ้าง และหัดไม่โต้ตอบในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เสียบ้าง คุณก็จะเป็นสุภาพบุรุษที่เธออยากจะรัก และร่วมรักด้วยทั้งกายและใจ
·      เคล็ดลับการอยู่กับผู้หญิง
กล่าวว่า ผู้หญิงเกิดมาเพื่อแสวงหาความรัก ความอบอุ่น ความมั่นคง และความจริงใจ จากคนที่เธอรัก เธออาจจะรักใครได้ยาก แต่เมื่อเธอแน่ใจในความรักที่เขามีต่อเธอแล้ว เธอก็จะรักเขาตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปร... เพราะนั่นเป็นธาตุแท้ของผู้หญิง แต่เธอชอบจู้จี้ขี้บ่น เอาใจยาก และชอบเปลี่ยนใจเรื่องโน้นเรื่องนี้บ่อยๆ บางครั้งตัดสินใจยาก และโลเลในเรื่องไม่เป็นเรื่อง... ยกเว้นความรักต่อชายคนที่เธอรักเท่านั้น ที่จะคงทนตลอดไป เพราะฉะนั้น ถ้าคุณผู้ชายค้นพบผู้หญิงคนที่คุณคิดจะใช้ชีวิตคู่ด้วยแล้ว และมั่นใจว่านั่นเป็นความรักแท้แล้ว ละก็

 " รักเธอให้มากๆ เข้าใจเธอให้น้อยๆ " แล้วคุณก็จะมีความสุข

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

วิถีขงจื๊อสู่ความเป็นเลิศเหนือคน - ดร.บุญชัย โกศลธนากุล ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ

 

ขงจื๊อเป็นนักคิดคนสำคัญยิ่งของโลก เป็นทั้งนักศึกษา นักรัฐศาสตร์ นักปรัชญา และที่สำคัญคือ เป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลทางความคิดมากที่สุดในแผ่นดินจีน คำสั่งสอนของขงจื๊อเป็นรากฐานทางสังคม การเมืองและวัฒนธรรมของทั้งจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีมาจนถึงปัจจุบันแนวคิดของขงจื๊อไม่เพียงแต่เน้นให้คนมีคุณธรรม แต่ยังเป็นแนวทางนำไปสู่ความมีอัจฉริยภาพ คือทำให้รู้ว่าในเวลาหนึ่ง คนเราควรจะคิดอะไร วางตัวอย่างไร คบเพื่อนแบบไหน เพื่อทำให้เราใช้ศักยภาพและเวลาที่มีจำกัดให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด แก่นคำสอนของขงจื๊อสรุปได้เป็น 5 หัวข้อดังนี้

1. บุคลิกภาพของมนุษย์ที่แท้

มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบของขงจื๊อ คือคนมีบุคลิกโดดเด่นเหนือคนทั่วไป มีพลังดึงดูด โน้มน้าวใจคน และมีคุณธรรมเที่ยงตรง ทำให้มีอำนาจเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป คุณลักษณะ 7 ประการ ที่จะช่วยให้มนุษย์มีพลังอำนาจตามวิธีคิดของขงจื๊อ คือ

‘ นอบน้อม เพราะคนนอบน้อมจะไปทำอะไร ที่ไหน ย่อมไม่เป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป

‘ เมตตากรุณา เพราะคนมีเมตตากรุณา มักจะมี positive aura บนใบหน้าที่ทำให้สามารถเอาชนะใจคนได้โดยง่าย

‘ จริงใจ เพราะจะส่งผลให้มีบุคลิก ซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของผู้อยู่เหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา และบุคคลทั่วไป

‘ จริงจัง เพราะย่อมทำทุกสิ่งทุกอย่างลุล่วงลงได้

‘ ใจคอกว้างขวาง เพราะย่อมใช้ให้คนทำงานแทนได้ และสามารถเป็นผู้นำที่ดี

‘ ไม่กินอิ่มเกินไป ไม่แสวงหาความสะดวกสบายจนเกินไป เพราะจะทำให้กลายเป็นคนเกียจคร้าน ไม่แสวงหาหนทางปรับปรุงชีวิต พัฒนาตนเองในขณะที่ยังมีกำลังวังชา และสติปัญญาสมบูรณ์

‘ มีอารมณ์มั่นคง ไม่หวั่นไหวง่าย ถ้ากล่าวแบบคนสมัยใหม่ ก็คือการมี EQ สูง

2. วิธีคิดของผู้มีปัญญา

คนเราเกิดมา มีปัญญาสูงต่ำไม่เท่ากัน มีโอกาสในการศึกษาไม่เท่ากัน แต่ขงจื๊อเห็นว่าในชีวิตประจำวันคนเราสามารถค่อยๆ สร้างสมพัฒนาสติปัญญาให้ได้ด้วยตนเอง โดยการเปลี่ยนปรับวิธีคิดเสียใหม่ เลิกคิดปรุงแต่ง และคิดถึงเรื่องไร้สาระ และหันมาพิจารณาเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์แทน ดังนี้

‘ มนุษย์ที่แท้ จะต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า ทำอย่างไร เราจึงจะมองอะไรแล้วสามารถจะเห็นและเข้าใจสิ่งนั้นทะลุปรุโปร่ง และเมื่อได้ยินอะไรแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะฟังให้เข้าใจได้หมด ซึ่งก็คือการใช้สมาธิตั้งใจดู ตั้งใจฟัง นั่นเอง ปัญหาของจำนวนมาก คือ ดู เห็น ฟัง แล้วเข้าใจไม่หมด ตีความผิด ตีความเข้าตนเอง เอาตนเองเป็นที่ตั้งอยู่ตลอด ถ้าแก้ไขจุดนี้ได้ เราก็จะมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งต้องใช้ประกอบการคิด การตัดสินใจต่อไป

‘ อย่าคิดกังวลว่าใครจะยอมรับยกย่องเราหรือไม่ แต่ให้เป็นกังวลมากๆ ว่า ขณะนี้เรายังขาดคุณสมบัติข้อใดที่ทำให้ยังไม่เป็นที่ยกย่องของผู้คน และอย่าเป็นกังวลว่าคนอื่นจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของเรา แต่ให้กังวลว่าตัวเราจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของคนอื่นดีกว่า

จุดนี้คือ ขงจื๊อต้องการให้คนเราเน้นการพิจารณา เข้าใจ และปรับปรุงตนเอง ในขณะที่แนวโน้มของคนโดยทั่วไปจะชอบ 'ส่องนอก ไม่ส่องใน' และใช้เวลาไปกับการจับผิด วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเสียมาก

‘ เวลาเห็นช่องทางได้ผลประโยชน์ ต้องคิดถึงความยุติธรรมด้วยขงจื๊อเห็นว่ามนุษย์เรามีแนวโน้มจะคิดแบบเห็นแก่ได้ และตัดสินใจผิดพลาด เมื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น เพื่อจะไม่ทำผิดคุณธรรม คนเราต้องพิจารณาเรื่องความยุติธรรมอยู่เสมอๆ ความยุติธรรมที่ให้พิจารณาก็คือ หลักการง่ายๆ ถ้าเราไม่ชอบอะไร รังเกียจอะไร ก็จงอย่าทำกับคนอื่นแบบนั้น คิดได้แค่นี้

‘ นอกจากนี้ ขงจื๊อยังให้ข้อเตือนใจไว้ว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องหัดคิดการณ์ไกล เพื่อจะได้ไม่ต้องหลงทาง นอกจากนี้ เวลาร่ำเรียนศึกษาก็ต้องหัดคิดตาม เพราะคนที่ศึกษาหาข้อมูลต่างๆ โดยไม่คิด ย่อมไม่ฉลาดมากนัก ในทางตรงกันข้าม คนที่เอาแต่คิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ โดยไม่ชอบศึกษาหาข้อมูล ก็จะเป็นเพียงการคาดเดาหรือ speculation ย่อมจะคิดผิดพลาดได้ง่ายๆ ดังนั้น คนเราต้องหัดฝึกฝนการคิดและการศึกษาหาข้อมูลไปพร้อมๆ กัน

3. ระเบียบวินัย

ขงจื๊อกล่าวถึงระเบียบวินัย 3 ประการ ของคนวัยต่างๆ กัน

‘ วัยหนุ่มสาว พลังยังไม่มั่นคง ต้องมีวินัยเรื่องกามคุณ

‘ วัยกลางคน พลังกายใจเข้มแข็งมากที่สุด ต้องมีวินัยเรื่องความพึงพอใจ อย่าเพิ่งเฉยชาหรือพอใจกับอะไรง่ายๆ

‘ วัยชรา หมดเรี่ยวแรง พลังงานถดถอย ต้องมีวินัยกับความโลภ คืออย่ามีความต้องการมากมายไม่มีที่สิ้นสุด

4. การคบคน

ขงจื๊อเชื่อว่า ชีวิตคนเรา จะสุข ทุกข์ ประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องคบหาด้วย ดังนั้น ขงจื๊อจึงมีกฎในการเลือกคบคน ดังนี้


ข้อแรก ไม่คบหาคนที่มีคุณงามความดีไม่เท่าเราข้อสอง ไม่แสวงความเห็น หรือปรึกษาหารือคนที่มีเส้นทางชีวิตไม่เหมือนเราข้อสาม คนที่ควรคบหาคือ คนที่มีความซื่อตรง จริงใจ และมีความรู้ข้อสี่ พึงเลี่ยงคบหาบุคคลที่เสแสร้ง พูดจาไร้สาระ ฉวยโอกาส ฟุ้งเฟ้อข้อห้า เมื่อคบหาใครเป็นเพื่อนแล้ว จงมีความจริงใจต่อกัน แต่อย่าปล่อยให้เขาชักนำเราไปในทางที่ต่ำ

5. การพูด

คำพูดของเราต้องแสดงออกถึงความ ซื่อตรง สอดคล้องกับกิริยาทางกาย เพราะถ้าหากคำพูดเราเกิด พร้อมกับกิริยา มุ่งมั่นจริงใจ พูดสิ่งใดก็ย่อมประสบผลเป็นที่น่าเชื่อถือ

6. การวางตัว

คนเราจะมีคนรักทั่วทิศ หากวางตัวได้ดังนี้
เวลาอยู่นอกบ้านแล้วพบผู้คน วางตัวเรากับคนผู้นั้นเป็นแขกสำคัญในบ้าน

เมื่อต้องสั่งการ วางตัวราวกับเราเป็นแม่งานของพิธีการที่สำคัญยิ่งใหญ่ (คนที่เป็นแม่งานจะต้องเป็นภาพงานทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบอย่างรอบด้าน และมีจิตมุ่งมั่นต้องการทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ในระยะเวลาที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะฉะนั้นเวลาคนเป็นแม่งานสั่งงาน จะไม่สักแต่ว่าขอให้ใครทำอะไร แต่จะคิด อย่างรอบคอบถึงผลที่ตามมา จะไม่สั่งการ แบบขอไปที แต่จะต้องมีการติดตามผล แนะนำเพื่อให้งานลุล่วงไปได้)

อะไรที่เราไม่ชอบ ก็อย่าปฏิบัติต่อคนอื่น
เข้มงวดต่อตนเอง แต่ให้อภัยคนอื่น

7. การวางจิต

ขงจื๊อเน้นการมีจิตใจที่ซื่อตรง เขาเห็นว่าประเทศชาติจะสงบสุขได้ครอบครัวต้องดีก่อน แต่ครอบครัวจะดีได้ มนุษย์แต่ละคนต้องมีคุณธรรม มนุษย์แต่ละคนจะมีคุณธรรม ก็ต้องมีจิตใจที่ซื่อตรงและจิตใจที่ซื่อตรง จะมีได้ก็ต้องมีเจตนาที่ซื่อตรงก่อน

ขงจื๊อเน้นจิตที่สามารถมองอะไรชัดเจน ทะลุปรุโปร่ง จิตเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็จากการมองเห็นและรู้จักตนเองอย่างรอบด้านก่อน

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

MV กอดฉันไว้ จ๊อบ บรรจบ